����ª��ͧ������
����ª��ͧ������
����ª��ͧ�������Ҩ�����͡�������� � ��� �������ö����ҡ��������¡���
����ª��ѧ���
1. ���ҧ�����繸��� ���ͤ����صԸ���������ѧ�� ���С���������ѡ��ԡҷ��ء����
��ͧ��Ժѵ������Ҥ ��������ѹ ����͡�û�ԺѵԢͧ�ؤ��㴺ؤ��˹��������º����� �Ҵ���� �صԸ��� �����¡����������ҧ�����صԸ��� �صԢ�;Ծҷ�������Դ�������Ѵ������º�ѹ �ѧ������ ���¡�ѹ��� �صԸ��� �ѧ��������Ѻ�����آ�ҡ�Ţͧ������㹴�ҹ���
2. ���ѡ�Է��˹�ҷ��ͧ����ͧ���л�ԺѵԵ���ѧ��
3. ����ª��㹡�û�Сͺ�Ҫվ �� ����繷���֡�ҷҧ������ ����� ���¤���
��¡�� ��� ��駨��繻���ª�����ѧ�� �µ�ҧ���µ�ҧ���¡ѹ�ѡ�Ҥ����١��ͧ �����صԸ��� ����Դ�����ѧ��
4. ����ª��㹷ҧ������ͧ��û���ͧ ���ж�һ�ЪҪ���顮���¡���繡����������ҧ
������蹤��ͧ��û���ͧ ��С�ú����çҹ�ҧ������ͧ ��û���ͧ ����ª���آ��е�����Ѻ ��ЪҪ�
5. �ѡ�Ҥ���ʧ����º���¢ͧ��ҹ���ͧ �����Ÿ����ѹ�բͧ��ЪҪ� ���С�����
���չ�鹨е�ͧ������������ͧ���ЪҪ���������ѹ ��ЪҪ�����Դ�������ء ��ʹ���㹪��Ե ��з�Ѿ���Թ ���ҧ��������ѹ����յ�ͤ�ͺ���� ��ͺؤ����� ��е�ͻ���Ȫҵ�
Create Date :05 �á�Ҥ� 2550 Last Update :5 �á�Ҥ� 2550 8:59:40 �. Counter :Pageviews. Comments :0
หมายถึง กฎหมายที่กำหนดลักษณะของการกระทำหรือไม่กระทำอย่างใดถือว่าเป็นความผิด และกำหนดบทลงโทษทางอาญาสำหรับผู้กระทำความผิด ทั้งนี้ เพื่อเป็นรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและสังคม โดยกฎหมายอาญากำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้กระทำความผิด แบ่งได้ ๕ ประการ (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘) ดังนี้ (๑) ประหารชีวิต (๒) จำคุก (๓) กักขัง (๔) ปรับ (๕) ริบทรัพย์สิน
คนไทยเรามักจะมองเห็นว่ากฎหมายเราเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่อยู่รอบตัวเรา และใกล้กับเรามากจนคุณอาจคาดไม่ถึง มันมีการบังคับใช้ตั้งแต่คุณเกิด จนถึงคุณตาย มีอาณาเขตครอบคลุมทุกพื้นที่ ๆ คุณอยู่โดยเฉพาะในประเทศ ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องกฎหมายเบื้องต้นเป็นสิ่งสำคัญที่ประชาชนส่วนใหญ่ควรมีความรู้ หลัก ๆ เลยก็เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง การเรียนไม่ได้หมายถึงให้รู้เท่ากับทนายความ แต่ให้เรียนเท่าที่ควรรู้ อย่างเช่นภายในชีวิตประจำวันเราควรจะรู้อะไรบ้าง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่กว้างสำหรับคนที่ไม่เคยเรียนมาก่อน แต่ไม่ต้องกังวัลไปวันนี้เราจะมาค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปกันทีละระดับเรามาเริ่มกันเลย
สิ่งแรกที่เราควรรู้คือกฎหมายแบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่ “กฎหมายแพ่ง” สำหรับบุคคล ทรัพย์สิน และ “กฎหมายอาญา” ความผิดที่ต้องมีการลงโทษเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของสังคม คุณรู้ความหมายหรือไม่ว่าบุคคลนั้นหมายถึงใคร บุคคลนั้นก็หมายถึงตัวเราเอง และคนอื่น ๆ เป็นสถานภาพที่ใช้เรียกคนที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ถ้าอยู่เฉย ๆ เกิดหายตัวไปจะเรียกว่า “สาบสูญ” หรือ “สูญหาย” จะต้องเป็นผู้ที่หายตัวไปเป็นระยะเวลาเกินกว่า 7 ปีจึงถือว่าสิ้นสภาพบุคคล ต่อมาเราจะมาเรียนในเรื่องของคำว่า “ทรัพย์สิน” ได้แก่บ้านเคลื่อนที่ไม่ได้เรียกว่า “อสังหาริมทรัพย์” และรถยนต์ที่เคลื่อนที่ได้เรียกว่า “สังหาริมทรัพย์” หรือเรียกง่าย ๆ
นี่เป็นสิ่งที่เราควรทำความเข้าใจง่าย ๆ ก่อนเป็นอันดับแรกเพราะจะช่วยให้เราเข้าใจได้ว่ากฎหมายพูดถึงอะไร กำหนดอะไรไว้เพื่อใคร อะไร อย่างไร ความสำคัญของกฎหมายมีอยู่ก็เพื่อกำหนดความเรียบร้อยในสังคมให้อยู่ในความสงบ โดยประชาชนทุกคนจะเมื่ออยู่ภายใต้แผ่นดินจะต้องเคารพกฎหมายบ้านเมือง หากทำผิดฝ่าฝืนก็จะถูกลงโทษตามกฎหมายที่กำหนดไว้ อีกทั้งในยามที่เราเสียเปรียบกฎหมายมักจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยทวงความเป็นธรรมกลับคืนให้กับเราได้ ถ้าเราบริสุทธิใจจริงอย่างไรก็ตามความจริงย่อมปรากฏ
การบังคับใช้กฎหมายไม่ใช่เรื่องแปลก ในทุก ๆ ประเทศมีกฎหมายเป็นของตนเอง แต่ละแห่งก็จะมีข้อห้ามแตกต่างกันออกไป อย่างชาติมุสลิมที่ใช้คำสอนทางศาสนามาสร้างเป็นกฎหมาย ใครที่หลับหลู่ หรือทำผิดจารีตประเพณีก็จะถือว่าผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน บางประเทศจะเน้นในส่วนของเหตุผลและความน่าจะเป็น ๆ หลักอย่างเช่นประเทศที่ไม่มีนโยบายประหาร แถมยังให้นักโทษอยู่อย่างสบายโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษย์ชนเป็นหลัก จึงเห็นได้ว่ากฎหมายเป็นพื้นฐานของทุกสังคมบนโลก หากเราเคารพกฎหมายทุกคนก็จะอยู่กันอย่างสงบสุขโดยไม่มีผู้ใดเสียเปรียบ
กฎหมายอาญา คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับอาชญากรรมและการควบคุมความประพฤติของคนในสังคม ซึ่งจะแตกต่างจากกฎหมายแพ่งตรงที่กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างบุคคลหรือองค์กร แต่กฎหมายอาญามีไว้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ผู้ใดละเมิดกฎหมายอาญา ถือว่าละเมิดต่อรัฐโดยตรง หลักการของกฎหมายอาญาจะเน้นไปที่การลงโทษผู้กระทำความผิด ไม่เหมือนกฎหมายแพ่งที่ยุติข้อพิพาทด้วยการชดเชยด้วยทรัพย์สิน
ระบบของกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา มีความแตกต่างกันมาเป็นเวลานับพันปี จนมาถึงทุกวันนี้ระบบกฎหมายอาญา ได้ถูกวางโครงสร้างไว้เพื่อปกป้องสวัสดิภาพทางกายและรักษาจริยธรรมของคนในรัฐ ซึ่งกำหนดไว้ว่าผู้ละเมิดกฎหมายจะต้องได้รับบทลงโทษทางอาญา ที่เหมาะสมกับระดับความผิดตามเกณฑ์ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน ในคอร์สนี้คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของกฎหมายอาญา และวิธีการนำข้อกฎหมายเหล่านั้นมาใช้ในชีวิตประจำวัน
สัญญาซื้อขายธรรมดา แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. คำมั่นว่าจะซื้อหรือจะขาย คือ มีการให้คำมั่นเสนอว่าจะซื้อหรือจะขาย
2. สัญญาจะซื้อจะขาย คือ สัญญาตกลงกันในสาระสำคัญของสัญญาจะซื้อจะขาย
3. สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด คือ เป็นสัญญาที่ตกลงกันตามสาระสำคัญของสัญญากันเรียบร้อยแล้ว
สัญญาซื้อขายเฉพาะอย่าง แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
1. สัญญาซื้อขายเงินสด คือ สัญญาที่ผู้ซื้อตกลงชำระราคาสินค้าเป็นเงินสดทันที เมื่อมีการซื้อขายกัน
2. สัญญาซื้อขายผ่อนส่ง คือ สัญญาการซื้อขายที่มีการส่งมอบทรัพย์สินให้กับผู้ซื้อแล้ว แต่ผู้ซื้อยังไม่ได้ชำระราคา อาจตกลงผ่อนชำระเป็นงวด ๆ
3. สัญญาขายฝาก คือ สัญญาซื้อขายที่ผู้ขายฝากต้องการเงินจำนวนหนึ่งจากผู้ซื้อ จึงนำทรัพย์สินมาโอนให้กับผู้ซื้อฝาก และผู้ขายฝากมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินกับคืนได้ภายในเวลาที่ตกลงกันไว้ หากครบกำหนดไถ่คืนแล้ว ผู้ขายฝากไม่มาไถ่คืน ทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นของผู้ซื้อฝากโดยเด็ดขาด
4. การขายทอดตลาด คือ การซื้อขายที่ประกาศให้ประชาชนมาประมูลซื้อสู้ราคากันโดยเปิดเผย ประกอบด้วยบุคคล 4 ฝ่าย คือ
– ผู้ขายซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือผู้มีอำนาจขายทรัพย์สินได้
– ผู้ทอดตลาด
– ผู้สู้ราคา
– ผู้ซื้อ
สัญญาเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ แบ่งออกเป็น
1. สัญญาเช่าทรัพย์
– ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นตัวหนังสือ
– ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ
2. สัญญาเช่าซื้อ คือ สัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์นั้นให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินหรือจะให้ทรัพย์นั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ โดยมีเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว การทำสัญญาเช่าซื้อต้องทำหนังสือลงลายมือชื่อในสัญญาทั้งสองฝ่าย
สัญญากู้ยืมเงิน
เป็นสัญญาที่ผู้กู้และผู้ให้กู้ได้ตกลงกันในการยืมเงินและจะคืนเงินให้ตามเวลาที่กำหนดไว้โดยมีการเสียดอกเบี้ย การกู้ยืมเงินตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป ต้องมีหลักฐานลงลายมือชื่อผู้กู้ไว้เป็นสำคัญ