สวัสดีค่าาาาา กลับมาพบกับบทความแชร์สูตรอาหารที่อร่อยและทำง่ายกันอีกแล้ว หลังจากบทความก่อนหน้าเราหยิบเอามาเมนูแกงส้มมาแชร์กันไปแล้ว บทความนี้ก็ถึงคิวของเมนูที่เคียงคู่กันมาทุกยุคทุกสมัยอย่างแกงกะทิแล้วค่ะ เอาจริง ๆ แล้วทั้งแกงเหลืองและแกงกะทิถือว่าเป็น 2 เมนูหลักที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน เบื่อแกงเหลืองเมื่อไหร่ก็หันมาทำแกงกะทิ เริ่มเลี่ยนแกงกะทิเมื่อไหร่ก็เปลี่ยนมาทำแกงเหลืองบ้าง สลับกันไปสลับกันมา นอกจากนี้เมนูแกงทั้ง 2 ประเภทก็เข้ากับวัตถุดิบได้หลากหลาย ไม่แปลกเลยทำไมทั้ง 2 แกงถึงเป็นที่นิยมมาอย่างยาวนานค่ะ
สำหรับแกงกะทิ จะเป็นแกงที่มีส่วนผสมของกะทิโดดเด่นแต่ไม่กลบวัตถุดิบหลักอย่างเนื้อสัตว์หรือผัก เน้นให้รสชาติมัน ๆ และเพิ่มความเข้มข้นให้น้ำแกง รวมถึงทำให้ความเผ็ดของพริกแกงอ่อนลงและกลมกล่อมมากขึ้น ไม่จัดจ้านจนแแสบท้อง นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเคี่ยวหัวกะทิยังทำให้น้ำแกงมีสีสวยและดีต่อสุขภาพในบางประการ ทั้งหมดนี้คือจุดเด่นของแกงกะทิค่ะ
สูตรเมนูแกงกะทิ
ในบทความนี้เราก็ได้รวบรวมสูตรวิธีทำแกงกะทิ 10 เมนูมาแบ่งปันเพื่อน ๆ ที่กำลังหาไอเดียเปลี่ยนกับข้าวเดิม ๆ เป็นเมนูที่อร่อยและน่าทาน ไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีเมนูอะไรบ้าง
1. แกงเขียวหวานเนื้อ
ประเดิมด้วยเมนูยอดฮิตอย่างแกงเขียวหวานเนื้อ จะทานกับข้าวก็ได้ หรือจะตักราดขนมจีนก็ดี สูตรนี้น้ำแกงจะมีความเข้มข้นของกะทิ มีน้ำมันลอยหน้าจากกะทิและเนื้อวัว น้ำแกงได้กลิ่นหอมสมุนไพรอ่อน ๆ และกลิ่นกะทิเบา ๆ เนื้อวัวสุกนุ่มไม่เหนียวมากนัก มะเขือเปราะเนื้อนุ่มไม่เฝื่อน ในส่วนของรสชาติจะมีความกลมกล่อม ไม่เผ็ดหรือเค็มจัดมากนักค่ะ
วัตถุดิบแกงเขียวหวานเนื้อ
- เนื้อวัว
- มะเขือเปราะ
- มะเขือพวง
- พริกชี้ฟ้า
- ใบโหระพา
- ใบมะกรูด
- พริกแกงเขียวหวาน
- น้ำปลา
- น้ำตาลมะพร้าว
- กะทิ
- น้ำเปล่า
วิธีทำแกงเขียวหวานเนื้อ
- ขั้นตอนที่ 1 : ล้างทำความสะอาดเนื้อวัวและผักให้เรียบร้อยก่อนค่ะ จากนั้นหั่นเนื้อวัวเป็นแผ่นบาง ๆ ขวางลายเนื้อเพื่อให้เนื้อออกมานุ่ม ไม่เหนียว ส่วนมะเขือเปราะแนะนำให้หั่นแล้วแช่น้ำเกลือทิ้งไว้เพื่อล้างยางมะเขือออกและป้องกันไม่ให้มะเขือดำคล้ำ เสร็จแล้วหั่นแฉลบพริกชี้ฟ้าสำหรับตกแต่งและเด็ดมะเขือพวงแช่น้ำไว้ก่อนค่ะ
- ขั้นตอนที่ 2 : เทหัวกะทิพอประมาณลงในกระทะแล้วเปิดไฟกลางค่อนอ่อน จากนั้นนำเนื้อวัวลงผัดให้พอสุกทั่วกัน นำขึ้นมาพักไว้ก่อนค่ะ จากนั้นเช็ดกระทะให้แห้งแล้วเทหัวกะทิลงผัดให้แตกมัน ค่อย ๆ เติมหัวกะทิลงไปเรื่อย ๆ แล้วผัดต่อจนได้น้ำมันในปริมาณที่ต้องการ แต่ต้องระวังไม่ให้กะทิไหม้นะคะ เอาแค่พอแตกมันและส่งกลิ่นหอมก็พอแล้วค่ะ
- ขั้นตอนที่ 3 : กะทิแตกมันดีแล้วนำพริกแกงเขียวหวานลงผัดรวมกับกะทิจนสุกหอม จากนั้นใส่หัวกะทิหรือหางกะทิลงไปค่ะ รอน้ำแกงเดือดอีกครั้งแล้วนำมะเขือเปราะลงหม้อจนเริ่มสุกนิ่ม ลองชิมรสชาติน้ำแกงดูก่อนนะคะ ปรุงรสเพิ่มเติมด้วยน้ำปลาและน้ำตาลมะพร้าว ตามด้วยมะเขือเปราะ คนให้เข้ากัน มะเขือสุกดีแล้วลองชิมรสชาติอีกครั้งค่ะ เทเนื้อพร้อมน้ำที่ออกมาจากเนื้อลงหม้อ คนผสมให้เข้ากันแล้วปิดท้ายด้วยใบโหระพาและพริกชี้ฟ้า กดเบา ๆ ให้ใบโหระพาจมแล้วยกลงตักเสิร์ฟได้เลยค่ะ
2. แกงหอยแมลงภู่สับปะรด
ถัดมาเป็นแกงหอยแมลงภู่ อีกหนึ่งเมนูรสชาติอร่อยกลมกล่อมที่เราอยากแนะนำค่ะ เมนูนี้จะเป็นหอยแมลงภู่สดตัวโดตเนื้อหวานกำลังดี นำมาแกงรวมกับสับปะรดเนื้อฉ่ำรสชาติหวานอมเปรี้ยว น้ำแกงสีส้มได้มาจากพริกแกงเผ็ดและกะทิที่มีความเผ็ดและรสชาติมัน ๆ ลงตัวกลมกล่อมกำลังดี น้ำแกงรสชาติหวานเค็มเบา ๆ หอมกลิ่นพริกแกงและใบโหระพาน่าทานค่ะ
วัตถุดิบแกงหอยแมลงภู่สับปะรด
- เนื้อหอยแมลงภู่
- สับปะรดสุก
- พริกชี้ฟ้า
- ใบมะกรูด
- ใบโหระพา
- พริกแกงเผ็ด
- น้ำตาล
- น้ำปลา
- กะทิ
วิธีทำแกงหอยแมลงภู่สับปะรด
- ขั้นตอนที่ 1 : นำหอยมาล้างทำความสะอาดเตรียมไว้ก่อนเลยค่ะ แนะนำให้เลือกใช้หอยนึ่งหรือหอยสุกจะทำง่ายกว่าหอยดิบ จากนั้นหั่นสับปะรดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไม่ควรใหญ่มากนะคะ แนะนำให้ชิมก่อนว่าตัวสับปะรดหวานมากน้อยแค่ไหนจะได้ปรุงรสชาติน้ำแกงง่ายขึ้นค่ะ จากนั้นหั่นพริกชี้ฟ้า, ฉีกมะกรูด และเด็ดใบโหระพาเตรียมไว้ สำหรับใบมะกรูดและใบโหระพาไม่ต้องใส่เยอะมากนะคะ เอาแค่พอได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ก็พอแล้วค่ะ
- ขั้นตอนที่ 2 : เทกะทิลงในกระทะพอประมาณแล้วผัดจนพอเดือด จากนั้นนำพริกแกงผัดรวมกันจนสุกหอม ปรุงรสขั้นต้นด้วยน้ำตาลและน้ำปลาพอประมาณ นำเนื้อหอยลงผัดรวมกันจนส่งกลิ่นหอม เติมกะทิลงไปพอประมาณแล้วตามด้วยสับปะรด คนให้เข้ากันแล้วลองชิมรสชาติดูค่ะ ถ้าพอใจแล้วปิดท้ายด้วยพริกชี้ฟ้า, ใบมะกรูด และใบโหระพา ผัดให้เข้ากันอีกครั้งแล้วยกลงตักเสิร์ฟ
3. ขนมจีนน้ำยากะทิ
ขนมจีนเป็นเมนูที่หลายคนชื่นชอบค่ะ สำหรับเมนูนี้เราจะนำเนื้อปลามาต้มรวมกับเครื่องสมุนไพรจนหมดกลิ่นคาว นำมาตำรวมกับเครื่องสมุนไพรและพริกแกงหอม ๆ แกงรวมกับลูกชิ้นปลาและกะทิรสชาติมัน ๆ กลมกล่อม สูตรนี้น้ำแกงค่อนข้างจะเข้มข้น เนื้อปลาฟู มีกลิ่นหอม ในส่วนของรสชาติมีความเผ็ด ๆ หอม ๆ และมีรสชาติเค็มเบา ๆ ค่ะ หอมกลิ่นเครื่องสมุนไพรสุด ๆ
วัตถุดิบขนมจีนน้ำยากะทิ
- ปลาตามชอบ
- ลูกชิ้นปลา
- กระเทียม
- หอมแดง
- กระชาย
- ตะไคร้
- ใบมะกรูด
- พริกแกงแดง
- กะทิ
- เกลือ
- น้ำตาล
- น้ำเปล่า
วิธีทำขนมจีนน้ำยากะทิ
- ขั้นตอนที่ 1 : เทน้ำเปล่าใส่หม้อตามด้วยกระเทียม, หอมแดง, กระชาย และตะไคร้ลงในหม้อ ระหว่างรอน้ำเดือดมาจัดการขอดเกล็ดดึงไส้ปลาออกก่อนค่ะ สำหรับปลาสามารถใช้ได้ทุกประเภทเลยนะคะ เน้นเอาปลาที่มีเนื้อเยอะและมีก้างน้อยอย่างปลาทับทิม, ปลานิล หรือปลาน้ำดอกไม้ น้ำเดือดจัดแล้วนำเนื้อปลาลงต้มจนสุกทั่วทั้งตัว จากนั้นตักขึ้นมาลอกหนังและก้างออก เอาเฉพาะเนื้อปลามาตำจนเนื้อฟู
- ขั้นตอนที่ 2 : ตักตะไคร้, กระเทียม, หอมแดง และกระชายที่ต้มพร้อมปลามามาหั่นเป็นชิ้นขนาดเล็กแล้วโขลกพร้อมพริกแกงแดงจนเข้ากันและได้เนื้อเนียน ตักเนื้อปลาที่ตำไว้ลงผสมแล้วตำจนขึ้นฟู จากนั้นเทหัวกะทิลงในหม้อแล้วนำขึ้นตั้งเตาจนเริ่มเดือด นำพริกแกงที่โขลกไว้ก่อนหน้าลงในหม้อแล้วผัดจนเข้ากัน ตามด้วยหางกะทิและลูกชิ้นปลา ปรุงรสด้วยเกลือ, น้ำตาล และใบมะกรูด รอน้ำแกงเดือดอีกครั้งตักเสิร์ฟได้เลยค่ะ
4. แกงปูใบชะพลู
ใครชอบทานแกงกะทิไม่ควรพลาดเมนูนี้เลยค่ะ แกงปูใบชะพลูเป็นการจับคู่ที่อร่อยลงตัวสุด ๆ เมนูนี้เราจะใช้กรรเชียงปูเนื้อแน่นชิ้นโต แกงรวมกับใบชะพลูที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีรสชาติเผ็ดร้อนเบา ๆ ส่วนน้ำแกงจะมีรสชาติค่อนข้างกลมกล่อม ไม่เผ็ดหรือเค็มจัดมากจนเกินไป จะทานกับข้าว, ทานกับเส้นหมี่ขาว หรือทานพร้อมขนมจีนก็เข้ากันลงตัวค่ะ
วัตถุดิบแกงปูใบชะพลู
- เนื้อปู
- ใบชะพลู
- พริกแกงเผ็ด
- น้ำตาล
- เกลือ
- กะทิ
วิธีทำแกงปูใบชะพลู
- ขั้นตอนที่ 1 : ล้างใบชะพลูให้สะอาดก่อนค่ะ นำมาหั่นฝอยหรือฉีกเตรียมไว้ จากนั้นเทหัวกะทิใส่หม้อแล้วผัดจนเดือด จากนั้นนำพริกแกงลงผัดจนสุกหอม ปรุงรสด้วย น้ำตาลและเกลือเล็กน้อย รอจนน้ำแกงเดือดอีกครั้งแล้วเติมกะทิลงไปปริมาณตามชอบค่ะ รอจนน้ำแกงเดือดแล้วใส่เนื้อปูและใบชะพลูลงไป รอจนเดือดแล้วชิมรสชาติอีกครั้ง ได้รสที่พอใจแล้วปิดเตาตักเสิร์ฟได้เลยค่ะ
5. แกงไก่หน่อไม้ดอง
แกงไก่หน่อไม้ดองเป็นเมนูแกงกะทิที่ค่อนข้างจะมีรสจัดจ้านทั้งเผ็ดและเปรี้ยว ไม่เลี่ยนหรือหวานเหมือนแกงกะทิประเภทอื่น ๆ เมนูนี้แนะนำให้เลือกใช้เนื้อไก่ล้วนหรือเนื้อติดกระดูกจะมีรสชาติอร่อยค่ะ ส่วนหน่อไม้ดองจะมีกลิ่นและรสเปรี้ยวอ่อน ๆ ไม่จัดมากนัก ทานพร้อมข้าวสวยเข้ากันสุด ๆ
วัตถุดิบแกงไก่หน่อไม้ดอง
- เนื้อไก่
- หน่อไม้ดอง
- พริกชี้ฟ้า
- ใบโหระพา
- ใบมะกรูด
- พริกแกงเผ็ด
- น้ำปลา
- น้ำตาล
- กะทิ
- น้ำเปล่า
วิธีทำแกงไก่หน่อไม้ดอง
- ขั้นตอนที่ 1 : นำเนื้อไก่มาทำความสะอาดและหั่นก่อนเลยค่ะ แนะนำให้หั่นชิ้นใหญ่กว่าปกติเล็กน้อยนะคะเพราะตอนสุกเนื้อไก่จะหดลงไปอีกเยอะเลย เสร็จแล้วจัดการซอยพริกชี้ฟ้า, เด็ดใบโกระพา และฉีกใบมะกรูดเตรียมไว้ สุดท้ายกันมาจัดการล้างและขยำเอารสเปรี้ยวของหน่อไม้ดองออก พักให้สะเด็ดน้ำค่ะ
- ขั้นตอนที่ 2 : เทหัวกะทิลงให้หม้อหรือกระทะพอประมาณ จากนั้นผัดหัวกะทิด้วยไปกลางค่อนอ่อนจนกะทิแตกมัน นำพริกแกงลงผัดรวมกันจนสุกหอมแล้วตามดว้ยเนื้อไก่ ผัด ๆ คลุก ๆ จนเนื้อไก่เริ่มสุกและเนื้อตึงขึ้นแล้วเทกะทิตามลงไปพอประมาณ นำหน่อไม้ดองลงผัดรวมกันจนส่งกลิ่นหอม เปิดท้ายด้วยหางกะทิ ปรุงรสชาติด้วยน้ำปลาและน้ำตาล ทิ้งให้เดือดแล้วเพิ่มกลิ่นหอมด้วยพริกชี้ฟ้า, ใบมะกรูด และใบโหระพา คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันอีกครั้งแล้วตักเสิร์ฟได้เลยค่ะ
6. แกงเผ็ดเป็ดย่าง
แกงเผ็ดเป็ดย่างเป็นเมนูไทยโบราณที่หาทานค่อนข้างยากในปัจจุบัน แต่ในสมัยก่อนเนี่ยแกงเผ็ดเป็ดย่างถือว่าเป็นเมนูระดับพรีเมี่ยมที่มีราคาค่อนข้างสูงเลยค่ะ เมนูนี้จะเป็นการนำเป็ดไปย่างจนสุกและหนังมีสีสวย ทานพร้อมน้ำแกงที่มีรสชาติละมุน ไม่จัดจ้านมากเกินไปนัก เนื้อค่อนข้างที่จะมีความนุ่มละมุน ใครอยากลองทำแกงเผ็ดเป็ดย่างทานเองที่บ้านสามารถตามไปจดสูตรได้ลิ้งก์นี้เลยค่ะ เมนูจากเป็ด : แกงเผ็ดเป็ดย่าง
7. มัสมั่นไก่
มัสมั่นไก่เป็นอีกหนึ่งเมนูไทยโบราณที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เมนูนี้ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ค่ะ แกงมัสมั่นเป็นเมนูที่มีความกลมกลมกล่อม รสชาติไม่จัดจ้านมากนัก สามารถใช้กับเนื้อสัตว์ได้หลากหลาย แกงมัสมั่นค่อนข้างจะมีรสชาติค่อนไปทางหวานมัน ไม่เผ็ดมากนัก เค็มอ่อน ๆ สามารถจิ้มลิ้งก์ไปจดสูตรกันได้ที่บทความนี้เลยจ้า เมนูจากมันฝรั่ง : มัสมั่นไก่
8. พะแนงหมู
แกงพะแนงหมูเป็นอีกหนึ่งเมนูที่เราอยากแนะนำค่ะ เมนูนี้เป็นเมนูที่ทำง่ายและใช้เวลาไม่นานมากนัก น้ำแกงจะไม่เยอะมากนักแต่มีความเข้มข้น มีความมันกลมกล่อม ได้รสชาติเผ็ดหวานเบา ๆ และหอมกลิ่นพริกแกง เนื้อหมูไม่เหนียวและไม่หนามากนัก ทานพร้อมข้าวอร่อยกลมกล่อมลงตัวเลยค่ะ นอกจากอร่อยแล้วยังทำง่ายมาก ๆ อีกดด้วย ตามไปจดสูตรกันได้ที่ เมนูจากหม้อหุงข้าว : พะแนงหมู
9. แกงคั่วหอยขม
แกงคั่วหอยขมเป็นเมนูที่หาทานได้ไม่ง่ายนักค่ะ เมนูนี้เราจะใช้หอยขมแกะเนื้อล้วน นำมาแกงรวมกับพริกแกงเผ็ดและผักที่มีกลิ่นรสเฉพาะตัวอย่างใบชะพลูและชะอม ถีงผัก 2 ชนิดนี้จะมีกลิ่นค่อนข้างแรง แต่เมื่ออยู่ในแกงคั่วหอยขมแล้วทุกอย่างลงตัวเข้ากันสุด ๆ เนื้อหอยมีรสชาติหวานเบา ๆ ไม่มีกลิ่นสาบหรือกลิ่นโคลน น้ำแกงเข้มข้นแต่ไม่เผ็ดจัดมากนัก ตักซดเพลิน ๆ ได้เลยค่ะ
วัตถุดิบแกงคั่วหอยขม
- เนื้อหอยขมลวก
- ใบชะพลู
- ชะอม
- พริกแกงเผ็ด
- กะทิ
- น้ำปลา
- น้ำตาล
วิธีทำแกงคั่วหอยขม
- ขั้นตอนที่ 1 : นำเนื้อหอยขมมาล้างเบา ๆ ก่อนค่ะ จากนั้นหยิบใบชะพลูมาล้างทำความสะอาดแล้วหั่นขนาดตามชอบ ส่วนชะอมนำมาเด็ดเอาเฉพาะยอดอ่อนแล้วล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ
- ขั้นตอนที่ 2 : เทหัวกะทิลงในกระทะแล้วผัดด้วยไฟกลางค่อนอ่อนจนกะทิเริ่มเดือดและแตกมัน จากนั้นนำพริกแกงลงผัดรวมกันจนส่งกลิ่นหอมค่ะ เมนูนี้เราจะไม่ผัดหัวกะทิให้แตกมันมากนะคะ พริกแกงสุกหอมดีแล้วเติมหัวกะทิลงไปอีกเล็กน้อยแล้วนำเนื้อหอยขมลงผัดรวมกันจนสุกและน้ำแกงเดือด
- ขั้นตอนที่ 3 : น้ำแกงเดือดแล้วเติมหางกะทิลงไปเล็กน้อยเพื่อช่วยไม่ให้น้ำแกงข้นและมันมากจนกินไป ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาล น้ำแกงเดือดอีกครั้งเราจะใส่ใบชะพลูลงไปก่อนค่ะ คนจนใบชะพลูเริ่มสุกและส่งกลิ่นหอมค่อยตามด้วยชะอม กดให้จมและชะอมเริ่มส่งกลิ่นหอม ชิมรสชาติอีกครั้งก่อนปิดเตาตักเสิร์ฟ
10. แกงกะทิสายบัวปลาทู
ปิดท้ายด้วยเมนูแกงกะทิรสชาติเบา ๆ อย่างแกงกะทิสายบัวปลาทู เมนูนี้บอกเลยว่าทำง่ายและทานได้ทั้งครอบครัวค่ะ เมนูนี้ประกอบไปด้วยปลาทูนึ่งรสชาติหวานเค็มเบา ๆ สายบัวกรุบเล็กน้อยที่มีความฉ่ำ และน้ำแกงกะทิที่มีรสหวานเค็มกลมกล่อม ได้กลิ่นหอมและรสชาติเปรี้ยวเบา ๆ ของตะลิงปลิง เป็นอีกหนึ่งเมนูที่อยากให้ทึกคนลองทำค่ะ
วัตถุดิบแกงกะทิสายบัวปลาทู
- ปลาทูนึ่ง
- สายบัว
- ตะลิงปลิงหรือมะดัน
- หอมแดง
- กะปิ
- พริกไทยป่น
- เกลือ
- น้ำตาล
- กะทิ
วิธีทำแกงกะทิสายบัวปลาทู
- ขั้นตอนที่ 1 : มาทำความสะอาดสายบัวกันก่อน ถ้าซื้อสายบัวเป็นสายยาว ๆ มาแนะนำให้ล้างแล้วลอกเอาใยสายบัวออก จากนั้นหั่นเป็นท่อนพอดีคำเตรียมไว้ค่ะ เสร็จแล้วหันมาโขลกกะปิ, พริกไทย และหอมใหญ่ให้เข้ากันแต่ไม่ต้องละเอียดมากนัก
- ขั้นตอนที่ 2 : เทกะทิใส่หม้อแล้วนำขึ้นตั้งไฟกลางจนเดือดแล้วตามด้วยพริกแกงที่โขลกไว้ก่อนหน้า คนให้พริกแกงละลายเข้ากับน้ำกะทิดีแล้วนำสายบัวลงหม้อได้เลยค่ะ จากนั้นปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาล คนให้เข้ากันแล้วตามด้วยตะลิงปลิง ใช้ทัพพีบี้ให้ลิงปลิงพอแตก จากนั้นชิมรสชาติโดยรวมก่อนค่ะ ปิดท้ายด้วยเนื้อปลาทูนึ่ง รอน้ำแกงเดือดอีกครั้งปิดเตาตักเสิร์ฟได้เลย
และทั้งหมดนี้ก็คือ 10 สูตรเมนูแกงกะทิที่เรานำมาแชร์ในบทความนี้ เป็นอย่างไรบ้างคะ หวังว่าเมนูที่ของเราจะถูกใจเพื่อน ๆ ที่ชอบทานแกงกะทินะคะ แกงกะทิโดเด่นที่มีรสชาติมัน ๆ และมีความเข้มข้นกลมกล่อม มักจะปรุงให้มีรสชาติไม่จัดจ้านมากจนเกินไปนัก แต่ถึงอย่างนั้นการรับประทานกะทิบ่อยเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนั้นเราแนะนะให้ทุกคนรับประทานแต่พอดีและทานสลับกับเมนูอื่น ๆ อย่างแกงส้ม, ต้มจืด, ผัดผัก, ปลานึ่ง หรือเมนูหมูหรืออื่น ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายค่ะ