ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้คนตั้งถิ่นฐานนับหมื่นปี และก่อตั้งเป็นอาณาจักรมานานกว่า 1000 ปีแล้วในเกือบทุกส่วนของภูมิภาค เช่น ทวารวดี พุกาม ศรีวิชัย กัมพูชา เป็นต้น อีกทั้งมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างสูง เมื่อชาติตะวันตกเข้ามาค้าขาย และล่าอาณานิคม หลายอาณาจักร ยกเว้นไทยต่างตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา (เนเธอร์แลนด์) สเปน และสหรัฐอเมริกา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มประเทศอาณานิคมทั้งหลายต่างได้รับเอกราช และพยายามพัฒนาประเทศตามพื้นฐานและความสามารถของตน ปัจจุบันประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันเฉียงใต้ 10 ประเทศได้รวมกันเป็นสมาคมอาเซียน เพื่อช่วยเหลือและร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ อันนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในที่สุด เพื่อจะได้เข้าใจพัฒนาการของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงแบ่งการอธิบายออกเป็นสมัยโบราณ สมัยใหม่ และสมัยปัจจุบัน ดังต่อไปนี้
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้คนอาศัยมานาน หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุด คือ โครงกระดูกมนุษย์ชวาที่ริมฝั่งแม่น้ำโซโลใกล้เมืองตรินิล บนเกาะชวา มีอายุประมาณ 500,000 ปีล่วงมาแล้ว และเป็นดินแดนที่ได้สร้างสรรค์ความเจริญทัดเทียมกับดินแดนอื่นในเวลาเดียวกัน คือ รู้จักการนำโลหะโดยเฉพาะนำสำริดมาใช้ เช่น ที่ดองซอนในเวียดนาม บ้านเชียงในไทย และรู้จักเพาะปลูก คือ รู้จักการเพาะปลูกข้าว เมื่อประมาณ 6,000 ปีมาแล้ว
ผู้คนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สร้างสมความเจริญของตนเอง ประกอบกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่เส้นทางการค้าระหว่างอินเดียกับจีน จึงได้รับอิทธิพลทางอารยธรรมจากสองอารยธรรมใหญ่ คือ อารยธรรมจีนทางด้านตะวัน-ออก ซึ่งมีอิทธิพลมากในเวียดนาม และวัฒนธรรมอินเดียด้านตะวันตก ซึ่งมีอิทธิพลต่อพม่า ไทย ลาว และกัมพูชา สำหรับอินโดนีเซียและมาเลเซีย ได้รับอิทธิพลในระยะแรก ส่วนฟิลิปปินส์ อารยธรรมอินเดียและจีนยังแผ่เข้าไม่ถึง
สำหรับอารยธรรมอินเดียก่อให้เกิดการพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ขึ้นมาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ การตั้งอาณาจักรแบบอินเดีย
อิทธิพลของอารยธรรมอินเดียที่มีต่ออาณาจักรต่าง ๆ เหล่านี้ คือ แนวความคิดเรื่องพระมหากษัตริย์ที่เป็นเทวราช หรือกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม กฎหมายตามแนวพระธรรมศาสตร์ ภาษาสันกฤตและบาลี วรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์และมหาภารตะ การใช้พุทธศักราชและจุลศักราช แบบอย่างศิลปกรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเลือกรับอารยธรรมอินเดีย เพราะไม่ได้รับระบบวรรณะ ซึ่งเป็นการแบ่งแยกผู้คนในสังคมที่ตายตัวเข้ามา และยังคงรักษาวัฒนธรรม ความเชื่อเรื่องผีสางวิญญาณของตนเองไว้ด้วยกัน
อิทธิพลของอารยธรรมอินเดียที่มีต่ออาณาจักรต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสื่อมลงตั้งแต่ต้นพุทธ-ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา เพราะศาสนาอิสลามเผยแผ่เข้ามาทางหมู่เกาะของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการรุกรานของพวกมองโกลที่จีนปกครองต่ออาณาจักรต่าง ๆ ที่รับอารยธรรมอินเดีย รวมถึงเกาะชวา
สำหรับอาณาจักรเวียดนาม จีนปกครองเวียดนามเป็นระยะเวลา 1,000ปี จนปลายพุทธศตวรรษที่ 16 จึงเป็นอิสระจากจีน มีการสู้รบกับพวกจาม จนพวกจามพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาดใน พ.ศ.2015
หลังจากอาณาจักรที่รับอารยธรรมของอินเดียเสื่อมและหมดอำนาจไป ดินแดนต่าง ๆ ก็มีการก่อตั้งอาณาจักรขึ้นมาใหม่ โดยที่อารยธรรมอินเดียมีความสำคัญลดลงไป เช่น ราชวงศ์ตองอูในพม่า อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอยุธยาในไทย เป็นต้น พอถึงพุทธศตวรรษที่ 21 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากการเข้ามาของชาติตะวันตก
1. พัฒนาการทางด้านการเมืองการปกครอง มีลักษณะที่สำคัญ คือ มีสถาบันกษัตริย์เป็นแกนสำคัญ ในพม่า ไทย ลาว ที่นับถือพระพุทธศาสนา มีพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักในมลายู (มาเลเซีย) ชวา (อินโดนีเซีย) ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม มีสุลต่าน ส่วนในเวียดนาม ซึ่งได้รับอิทธิพลอารยธรรมจีน มีจักรพรรดิ หรือ หว่างเด๋ ส่วนในฟิลิปปินส์ยังไม่ได้เป็นประเทศมีเพียงหัวหน้าหรือผู้นำของแต่ละชนเผ่า ในช่วงเวลานี้ อำนาจของอาณาจักรต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งและความสามารถของประมุข เช่น พระเจ้าบุเรงนองของพม่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชของไทยสมัยสุโขทัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ของขอมหรือเขมรโบราณ เป็นต้น ดังนั้น อาณาจักรในสมัยนี้จึงมีการทำสงครามแย่งชิงอำนาจภายใน และการทำสงครามระหว่างอาณาจักรต่าง ๆ อยู่มาก ฝ่ายชนะก็จะมีการกวาดต้อนผู้คน ยึดทรัพย์สิน ของมีค่า รวมทั้งงานศิลปวัตถุ กลับไปยังบ้านเมืองของตน
ชื่ออาณาจักร | ที่ตั้ง | ช่วงเวลา/เหตุการณ์สำคัญ |
ฟูนัน (ฝู้หนาน) | กัมพูชา | พุทธศตวรรษที่ 7-12 ฟูนันหมดอำนาจ เพราะเกิดความแตกแยกขึ้นภายใน อาณาจักรขอมหรือเขมรขึ้นมาทันที |
จามปา | เวียดนามตอนกลาง | พุทธศตวรรษที่ 8-15 ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดีย มีการทำสงครามขอมกับเวียดนาม หมดอำนาจเพราะแพ้เวียดนาม |
ศรีวิชัย | เกาะสุมาตราและทางใต้ของไทยตลอดแหลมมลายู | ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-19 เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองทางการค้า |
ขอมหรือเขมร | กัมพูชา | ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 -กลางพุทธศตวรรษที่ 14 เรียกว่าอาณาจักร เจนละ หรือ เจิ้นเล่า ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 14 คือ อาณาจักรขอมสมัยเมืองพระนคร หรือเมืองนครหลวงสิ้นสุดอำนาจ ในตอนปลาย พุทธศตวรรษที่ 2 มีการสร้างศาสนสถานที่ใหญ่โต สวยงามมากมาย มีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด และพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างนครธม |
ศรีเกษตรและพุกาม | เมียนมา | พุทธศตวรรษที่ 8-19 เริ่มจากอาณาจักรปยุหรือศรีเกษตรที่นับถือพระพุทธศาสนา ต่อด้วยอาณาจักรพุกามในทางเหนือของพม่า พุทธศตวรรษที่ 15 ส่วนทางใต้เป็นอาณาจักรมอญ อาณาจักรในพุกามมีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้าอโนรธาหรืออนิรุทธ์ ซึ่งทรงขยายอำนาจได้กว้างใหญ่ ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และเป็นผู้สร้าง เจดีย์ชเวดากอง |
ทวารวดี | ไทย | พุทธศตวรรษที่ 11-16 เป็นสมัยที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมากโดยเผยแผ่ถึงทุกภาคของไทย |
มะตะรัม | เกาะชาว อินโดนีเซีย | พุทธศตวรรษที่ 14 กษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร์สร้างบุโรพุทโธ พระเจ้าทักษาแห่งราชวงศ์สัญชัยสร้างปรัมบานัน |
2. พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจ ลักษณะสำคัญ คือ เป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพหรือเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ทำนาเป็นหลักและปลูกพืชผลอื่น ๆ เพื่อบริโภคในครัวเรือน ถ้ามีเหลือก็ขายหรือเปลี่ยนเป็นส่วยให้กับทางราชการ มีการเลี้ยงสัตว์ และเก็บหาของป่าเพื่อใช้ประโยชน์และขาย มีแรงงานคนและสัตว์ เช่น โค กระบือเป็นแรงงานสำคัญในการผลิต
การค้าแบบเก่ามีทั้งการค้าภายในและการค้าภายนอก ที่สำคัญคือ การค้าทางทะเล โดยอาศัยลมมรสุมในการเดินเรือ ตลาดสำคัญคือ จีน ญี่ปุ่น ทางด้านตะวันตก และอินเดีย เปอร์เซีย ทางด้านตะวันตก โดยมีเมืองท่าสำคัญระยะแรกอยู่ที่เกาะ-สุมาตรา ต่อมาคือ เมืองมะละกา พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น สินค้าสำคัญ เช่น ของป่า หนังสัตว์ เครื่องเทศ พริกไทย เป็นต้น
3. พัฒนาการด้านสังคมและวัฒนธรรม ลักษณะที่สำคัญเป็นสังคมชนชั้น คือ ชนชั้นปกครองหรือมูลนาย กับผู้ถูก-ปกครอง หรือราษฎรสามัญ ทาส ส่วนพระสงฆ์ได้รับการเคารพยกย่องจากสังคม และผู้ที่เคยบวชเรียนมีโอกาสดีในการเลื่อนฐานะทางสังคม ทำนองเดียวกันในสังคมมุสลิม ผู้ที่เคยไปแสวงบุญที่นครเมกกะ ก็ได้รับการยกย่องเช่นเดียวกัน