ประเทศไทยมีพัฒนาการที่สำคัญเริ่มจากมีการตั้งหลักแหล่งอยู่ตามแหล่งน้ำที่มีความสำคัญได้สร้างความเจริญมีการสั่งสมตลอดจนถ่ายทอดอารยธรรมจากต่างชาตินำมาประยุกต์ใช้และมีการติดต่อค้าขาย มีการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับรัฐหรือแคว้นต่าง ๆข้างเคียงจนสามารถก่อตั้งเป็นอาณาจักรที่มีความยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรืองในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันได้ ดังนั้นในการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เรามาศึกษาพัฒนาการของอาณาจักรโบราณในภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
1. อาณาจักรโบราณในภาคเหนือ มีอาณาจักรที่สำคัญดังนี้
1.1. อาณาจักรโยนกเชียงแสน (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 - 19 )มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเชียงแสนได้มีการศึกษาอาณาจักรโยนกเชียงแสนจากหลักฐานที่พบในตำนานสิงหนวัติกุมารและตำนานลวจังกราช กล่าวไว้ว่าผู้สืบเชื้อสายจากเจ้านายไท มณฑลยูนนานของจีนมีเจ้าชายสิงหนวัตุกุมารอพยพนำมาผู้คนลงมาและก่อตั้งเมืองที่นี่แล้วสถาปนาว่าเป็น "อาณาจักรโยนกเชียงแสน"
1.) มีพัฒนาการที่เจริญรุ่งเรืองมาและได้ขยายอาณาเขตให้มีความกว้างขวางแต่ต่อมาผู้ที่ปกครองเมืองเดิมถูกขอมเข้ายึดครองและขับไล่ออกไป
2.) จนกระทั่งมาถึงสมัยของพระเจ้าพรหมกุมารสามารถกอบกู้เอกราชและได้สร้างเมืองขึ้นใหม่ที่เมืองเวียงไชยปราการ
3.) พวกมอญที่มาจากเมืองสะเทิมในพม่าได้ยกทัพมารุกรานหลังสมัยพระเจ้าพรหม พระราชโอรสของพระเจ้าพรหมคือ"พระเจ้าไชยสิริ" จึงได้มีการอพยพคนของอาณาจักรหนีมาสร้างเมืองใหม่ที่เมืองกำแพงเพชร
4.) ประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ได้มีการบูรณะเมืองเชียงแสนได้มีพระมหากษัตริย์ปกครองถึงพุทธศตวรรษที่ 19 จึงได้ถูกรวบเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา
2. อาณาจักรหริภุญชัย (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-19) ศูนย์กลางของเมืองหริภุญชัย(จังหวัดลำพูน) การศึกษาจากหลักฐานในตำนานพระนางจามเทวีวงศ์หรือตำนานเมืองหริภุญชัยมีความเจริญรุ่งเรืองโดยกล่าวว่าฤาษีวาสุเทพเป็นผู้สร้างเมืองโดยขอให้กษัตริย์เมืองละโว้ส่งเชื้อพระวงศ์มาปกครอง กษัตริย์เมืองละโว้ได้ส่งพระนางจามเทวีพระธิดามาปกครองและในการศึกษาจากตำนานมูลศาสนาได้กล่าวถึงคือการที่พระนางได้นำสิ่งมงคลที่ทรงขอจากพระราชบิดาคือพระสงค์จำนวน 500 รูป พร้อมทั้งแก้วแหวน ช่างและหมู่โหร เป็นต้นเพื่อไปก่อร่างสร้างเมืองหริภุญชัยจนสำเร็จทำให้มีความเจริญได้มีการสู้รบกับละโว้หลายครั้งจนส่งผลให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของละโว้และในปลายพุทธศตวรรษที่ 16-17 แม้ว่าจะมีการสู้รบกับกองทัพละโว้แต่ไม่สามารถจะเอาชนะได้แต่ก็ทำให้หริภุญชัยอ่อนแอลงได้ ทำให้ประชาชนมีความเดือดร้อนต้องหลบหนีไปอยู่ที่อื่น
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 สมัยของพระเจ้าอาทิตยราชขึ้นปกครองอาณาจักรหริภุญชัยสามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะด้านการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา มีการสร้างพระธาตุหริภุญชัย สร้างวัดต่าง ๆ การปกครองบ้านเมืองทำให้ประชาชนมีความสงบร่มเย็น จนถึง พุทธศักราชที่ 1835 พระยามังรายแห่งอาณาจักรล้านนาได้ยกทัพมาโจมตีและอาณาจักรหริภุญชัยถูกรวบเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาได้สำเร็จ
3. อาณาจักรล้านนา (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 19-25) มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ มีการขยายอาณาเขตที่กว้างขวางไปทางภาคเหนือพระยามังราชมหาราช เดิมที่ปกครองเมืองเชียงแสนได้สามารถปราบปรามอาณาจักรหริภุญชัย เมืองเขลางค์นคร แคว้นโยนกเชียงแสนได้สำเร็จและรวบเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาแล้วนั้น ยังมีความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ ดังนี้คือด้านการเมืองการปกครองเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีกฎหมาย "มังรายศาสตร์" มีการนำพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์มาจากสุโขทัยและพม่า ตลอดจนมีการสังคยานาพระไตรปิฏกหลายครั้ง มีการสร้างวัดพร้อมทั้งการอุปถัมภ์พระสงฆ์ด้วย
ด้านภาษา มีการใช้ตัวอักษรของตนเองใช้ 3 แบบ คือ 1. อักษรธรรมล้านนาหรืออักษรตัวเมือง 2.อักษรฝักขามที่ดัดแปลงจากตัวอักษรของพ่อขุนรามคำแหง และ3.อักษรขอมเมืองหรืออักษรไทยนิเทศ ซึ่งมีการดัดแปลงมาจากอักษรสองแบบแรก
สมัยพระเจ้าติโลกราช ในพ.ศ 1984 - 2030 อาณาจักรล้านนามีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด มีความเข้มแข็งได้มีการต่อสู้ทำสงครามกับอาณาจักรอยุธยาตรงกับสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถติดต่อกันเกือบ 24 ปี ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 21 อาณาจักรล้านนามีความอ่อนแอเพราะไม่มีความสามัคคี มีความแตกแยกกันอย่างรุนแรงในผู้ปกครองและขุนนางมีการปกครองโดยพระไชยเชษฐาธิราชแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้และต่อมาได้ตกเป็นประเทศราชของพม่าในพ.ศ.2101และต่อมาได้ถูกพม่าและอยุธยาผลัดเปลี่ยนกันเข้ายึดครองอาณาจักรล้านนามีบางครั้งได้แยกตนเป็นอิสระได้
จนถึงสมัยอาณาจักรธนบุรี อาณาจักรล้านนาได้ตกเป็นประเทศราชของไทยและต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2411 -2453 ได้ทรงรวมอาณาจักรล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศ