สำหรับการเซ็นรับรองสำเนาเอกสารประเภทอื่น ๆ จะมีหลักการคล้ายกับบัตรประชาชนเช่นกัน (อาจมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่ละหน่วยงาน) ซึ่งควรจะระบุวัตถุประสงค์และรายละเอียดตามการใช้งาน เช่น
การเซ็นสำเนาถูกต้อง เพื่อใช้ทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคาร
เช่น สมัครบัตรเครดิต เปิดบัญชีธนาคาร ขอสเตตเมนต์ (Statement) จัดไฟแนนซ์
ควรระบุวัตถุประสงค์ รายละเอียด ชื่อประเภทบัญชี หรือโครงการที่ต้องการสมัครให้ชัดเจน เช่น
– เพื่อใช้เปิดบัญชี (…ชื่อประเภทบัญชี…) กับธนาคาร (…ชื่อธนาคาร…) เท่านั้น
– เพื่อใช้สมัครบัตร (…ชื่อบัตรเครดิต/บัตรเดบิต…) กับธนาคาร (…ชื่อธนาคาร…) เท่านั้น
– เพื่อใช้ขอสินเชื่อ (..ชื่อโครงการสินเชื่อ….) กับทางธนาคาร (…ชื่อธนาคาร…) เท่านั้น
การเซ็นสำเนาถูกต้อง
เพื่อใช้สมัครงาน
ส่วนมากจะใช้สำเนาบัตรประชาชน สำเนาใบแสดงผลการศึกษา (Transcript) และสำเนาใบรับรองวุฒิการศึกษา ควรระบุวัตถุประสงค์ รายละเอียดตำแหน่ง และชื่อบริษัทให้ชัดเจน เช่น
– เพื่อใช้ในการสมัครงานตำแหน่ง (…ชื่อตำแหน่งงาน…) ที่บริษัท (…ชื่อบริษัท…) เท่านั้น
การเซ็นสำเนาถูกต้อง เพื่อใช้สมัครเรียน
เอกสารที่มักใช้ก็อย่างเช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาสูติบัตร สำเนาใบแสดงผลการศึกษา (Transcript) หรือสำเนาใบรับรองวุฒิการศึกษา เป็นต้น โดยควรระบุวัตถุประสงค์ รายละเอียดโครงการที่สมัคร ชื่อสถาบัน ชื่อคณะ หรือสาขาวิชาให้ชัดเจน เช่น
– เพื่อใช้ในการสมัคร (…ชื่อโครงการที่สมัคร…) ที่ (…ชื่อมหาวิทยาลัย…) เท่านั้น
– เพื่อใช้สมัครเรียน (…ชื่อคณะ หรือสาขาวิชา…) ที่ (…ชื่อมหาวิทยาลัย…)
เท่านั้น
การเซ็นสำเนาถูกต้อง เพื่อใช้ติดต่อราชการ
ไม่ว่าจะเป็นการใช้สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาสูติบัตร สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาพาสปอร์ต ฯลฯ ควรระบุวัตถุประสงค์ รายละเอียดให้ชัดเจน เช่น
– เพื่อใช้ (…ระบุวัตถุประสงค์…) เท่านั้น
นอกจากนี้ การเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารต่อหน้าเจ้าหน้าที่ หรือพนักงานที่เราติดต่อเพื่อทำธุรกรรม
ย่อมปลอดภัยกว่าการเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารแล้วส่งทางไปรษณีย์ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เอกสารดังกล่าวอาจตกหล่นสูญหาย หรืออาจถูกมิจฉาชีพนำไปดัดแปลงแก้ไขจนสร้างความเดือดร้อนให้โดยไม่รู้ตัว
แต่ทั้งนี้ ถ้าจำเป็นจะต้องยื่นเอกสารสำคัญเพื่อติดต่อธุรกรรมต่าง ๆ ก็อย่าลืมนำวิธีดังกล่าวไปใช้กันนะคะ
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 8 มีนาคม 2564