ข่าวประชาสัมพันธ์ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต
เรียนรู้หลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ขออนุญาตสำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) น้อมนำหลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันทรงคุณค่ายิ่ง ที่สำนักงาน กปร. ได้จัดพิมพ์ขึ้นมาจัดทำเป็นสมุดบันทึก "เรียนรู้หลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เผยแพร่แก่ปวงชนชาวไทย เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจหลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ภาคส่วนต่างๆ เห็นคุณค่าและถือปฏิบัติในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ให้สามารถพึ่งตนเองได้และขยายสู่การพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งสร้าง "สังคมอยู่เย็น เป็นสุขร่วมกัน” สืบไป หลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สำนักงาน กปร. รวบรวมไว้มีความหลากหลายถึง ๒๓ หลักการ ซึ่งประชาชนชาวไทยสามารถน้อมนำไปปฏิบัติในวาระและโอกาสต่างๆ ตามความเหมาะสม ดังนี้
หลักการที่หนึ่ง การศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ การที่จะพระราชทานโครงการใดโครงการหนึ่งจะทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบ ทั้งจากข้อมูลเบื้องต้นจากเอกสาร แผนที่สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการและราษฎรในพื้นที่ให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง เพื่อที่จะพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วตรงตามความต้องการของประชาชน
หลักการที่สอง ระเบิดจากข้างใน ทรงมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาคน ทรงตรัสว่า "ต้องระเบิดจากข้างใน” หมายความว่า ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่เราเข้าไปพัฒนามีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน แล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก มิใช่การนำเอาความเจริญหรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนหมู่บ้านที่ยังไม่ทันได้มีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว
หลักการที่สาม แก้ปัญหาที่จุดเล็ก ทรงมองปัญหาในภาพรวม (Macro) ก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาของพระองค์ จะเริ่มจากจุดเล็กๆ (Micro) คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่คนมักจะมองข้าม
หลักการที่สี่ ทำตามลำดับขั้น ในการทรงงาน จะทรงเริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นของประชาชนที่สุดก่อน ได้แก่ สาธารณสุข เมื่อร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ก็จะสามารถทำประโยชน์ด้านอื่นๆ ต่อไปได้ จากนั้นเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชีพ
หลักการที่ห้า ภูมิสังคม ในการพัฒนาใดๆ ต้องคำนึงถึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร และสังคมวิทยาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยใจคอของคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกัน
หลักการที่หก องค์รวม ทรงมีวิธีคิดอย่างองค์รวม (Holistic) หรือมองอย่างครบวงจร ในการที่จะพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับโครงการหนึ่งนั้น จะทรงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง
หลักการที่เจ็ด ไม่ติดตำรา การพัฒนาตามแนวพระราชดำริมีลักษณะของการพัฒนาที่อนุโลม และรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสภาพของสังคมจิตวิทยาแห่งชุมชน ไม่ติดตำรา ไม่ผูกมัดติดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของคนไทย
หลักการที่แปด ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด ดังจะเห็นได้จากพระราชจริยาวัตรที่ทรงประหยัดและในการพัฒนา ช่วยเหลือราษฎร พระองค์ทรงใช้หลักในการแก้ไขปัญหาด้วยความเรียบง่ายและประหยัด ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้
ในท้องถิ่นและประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นๆมาแก้ไขปัญหา โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีที่ไม่ยุ่งยากนักหลักการที่เก้า ทำให้ง่าย ทรงคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุงและแก้ไขงานการพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดำริให้ดำเนินไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่และระบบนิเวศโดยรวมตลอดจนสภาพสังคมของชุมชนนั้นๆ โดยทรงโปรดที่จะทำสิ่งที่ยากให้กลายเป็นง่าย ทำสิ่งที่สลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย
หลักการที่สิบ การมีส่วนร่วม ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงทรงนำประชาพิจารณ์มาใช้ในการบริหาร เพื่อเปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องคำนึงถึงความคิดเห็น
ของประชาชน หรือความต้องการของสาธารณชนหลักการที่สิบเอ็ด ประโยชน์ส่วนรวม ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจหรือพระราชทานพระราชดำริในการพัฒนาประเทศและช่วยเหลือพสกนิกร ทรงระลึกถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
หลักการที่สิบสอง บริการรวมที่จุดเดียว โดยทรงให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นต้นแบบในการบริการรวมที่จุดเดียว เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนที่มาขอใช้บริการ ให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
หลักการที่สิบสาม ทรงใช้ธรรมชาติ ช่วยธรรมชาติ ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติและต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทรงมองอย่างละเอียดถึงปัญหาธรรมชาติ หากต้องการแก้ไขธรรมชาติ จะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ ทำให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
หลักการที่สิบสี่ ใช้อธรรมปราบอธรรม ทรงนำความจริงในเรื่องความเป็นไปแห่งธรรมชาติและกฎเกณฑ์ธรรมชาติมาเป็นหลักการและแนวปฏิบัติในการแก้ปัญหาและปรับปรุง เปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่ปกติให้เข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การนำน้ำดี ขับไล่น้ำเสีย
หลักการที่สิบห้า ปลูกป่าในใจคน ดังพระราชดำรัส ความตอนหนึ่งว่า "...เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง...”
หลักการที่สิบหก ขาดทุนคือกำไร เป็นการให้และการเสียสละ ซึ่งเป็นการกระทำอันมีผลเป็นกำไรคือความอยู่ดีมีสุขของราษฎร ดังพระราชดำรัส ความตอนหนึ่งว่า "...ขาดทุน คือ กำไร Our loss is our gain… การเสียคือ การได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า และการที่คนอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่ได้...”
หลักการที่สิบเจ็ด การพึ่งตนเอง ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า "...การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพและตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด เพราะผู้มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งพาตนเองได้ ย่อมสามารถสร้างความเจริญในระดับสูงขั้นต่อไป...”
หลักการที่สิบแปด พออยู่พอกิน การพัฒนาเพื่อให้พสกนิกรทั้งหลายประสบความสุขสมบูรณ์ในชีวิตได้ เริ่มจากการเสด็จฯ ไปเยี่ยมประชาชนทุกหมู่เหล่าในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ได้ทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎร จึงทรงเข้าพระราชหฤทัยในสภาพปัญหาได้อย่างลึกซึ้ง และได้พระราชทานความช่วยเหลือให้พสกนิกร มีความกินดีอยู่ดี มีชีวิตในขั้นพออยู่พอกินก่อน แล้วจึงขยายให้มีขีดสมรรถนะที่ก้าวหน้าต่อไป
หลักการที่สิบเก้า เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น
และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆหลักการที่ยี่สิบ ความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกัน ทรงเน้นว่า หากคนไทยทุกคนร่วมมือช่วยกันพัฒนาชาติด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกันแล้ว ประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้าอย่างมาก
หลักการที่ยี่สิบเอ็ด ทำงานอย่างมีความสุข พระราชดำรัสที่ได้พระราชทานไว้ ความตอนหนึ่งว่า "...ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น...”
หลักการที่ยี่สิบสอง ความเพียร : พระมหาชนก เป็นพระราชนิพนธ์ ที่หากคนไทยน้อมรับมาศึกษา วิเคราะห์ และปฏิบัติตามรอยพระมหาชนก กษัตริย์ผู้เพียรพยายามแม้จะไม่เห็นฝั่ง ก็ยังว่ายน้ำต่อไป เพราะถ้าไม่เพียรว่ายก็จะตกเป็นอาหาร ปู ปลาและไม่ได้พบกับเทวดาที่มาช่วยเหลือมิให้จมน้ำไป
หลักการที่ยี่สิบสาม รู้ รัก สามัคคี ทรงให้ความสำคัญกับการ รู้ รัก สามัคคี ซึ่งเป็นคำสามคำที่มีค่าและมีความหมายลึกซึ้ง พร้อมปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย