สวัสดีค่ะ ชาว Dek-D หลังจากเรียนจบแล้ว เป้าหมายถัดมาของบางคนก็คงเป็นการหางานทำใช่ไหมล่ะคะ แต่ว่าในปัจจุบันนี้ด้วยอัตราการแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้หลายคนไม่สามารถหางานที่ดีได้ แม้ว่าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับงานก็ตาม ในวันนี้พี่ปลื้มเลยนำกลยุทธ์วิธีที่จะทำให้เราได้เปรียบคู่แข่งตั้งแต่เริ่มต้นด้วยการเขียน Cover Letter หรือจดหมายสมัครงานมาฝากทุกคนค่ะ
ก่อนอื่นการเขียน Cover Letter คือ การเขียนจดหมายเพื่อบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงเหมาะกับงานนั้นๆ และจะทำประโยชน์อะไรบ้างถ้าเราได้รับโอกาส (ประมาณว่าอวยตัวเองหน่อยๆ หรือโฆษณาให้น่าสนใจค่ะ) บางบริษัทอาจจะไม่ต้องการ cover letter แต่ว่าถ้าเราเขียนแนบไปด้วยก็สามารถแสดงให้เห็นว่าเรามีความตั้งใจในการสมัครงานกับบริษัทนั้นจริงๆ และการเขียน Cover Letter ยังมีข้อดีอีกอย่างนึงคือเราสามารถเขียนถึงสิ่งที่ไม่มีในเรซูเม่ (Resume) หรือ CV ได้อีกด้วย!
นายจ้าง หรือ HR ส่วนใหญ่มักจะอ่านจดหมายสมัครงานเพื่อทำความเข้าใจว่าผู้สมัครเป็นใคร ก่อนที่จะเจาะลึกประวัติส่วนตัว ดังนั้นการเขียน cover letter เลยกลายเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อสร้างความประทับใจแรกให้แก่บริษัท ฉะนั้นจึงไม่ควรเขียนยาวเวิ่นเว้อ ควรมีภาพรวมสั้นๆ เกี่ยวกับทักษะและความเชี่ยวชาญของตัวเอง เพื่อโน้มน้าวและดึงดูดความสนใจของผู้จ้าง หรือหัวหน้างานว่าตัวเรามีคุณสมบัติตามที่เขามองหาอยู่ค่ะ โดยส่วนสำคัญของจดหมายสมัครงานที่จะเน้นเป็นหลักมีทั้งหมด 3 ส่วน คือ
- The Introduction
- Body
- Conclusion
ต่อไปเรามาดู 4 Steps ในการเขียน Cover Letter กันค่ะว่าต้องเขียนอย่างไรบ้าง
Step 1: ข้อมูลการติดต่อ
จดหมายแนะนำตัวที่ดีควรมีชื่อ-นามสกุล, e-mail (ที่เป็นทางการ) หมายเลขโทรศัพท์ และอาจจะรวมถึงโพรไฟล์ LinkedIn ของเราด้วยค่ะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้นายจ้างหลายที่ก็อยากเข้าไปส่องประวัติการทำงานของเราใน LinkedIn ก่อนแล้วจึงตัดสินใจ และถ้าถูกใจก็อาจติดต่อกลับได้ง่ายๆ อีกด้วย ดังนั้นใครจะสมัครงานที่ไหน อย่าลืมสมัคร LinkedIn กันไว้เผื่อนะคะ //อาจใส่ข้อมูลติดต่อของนายจ้างปัจจุบันของเราไปด้วยก็ได้นะคะ
ตัวอย่าง
NOTE: การเขียนวันที่มีทั้งหมด 2 แบบค่ะ คือแบบอังกฤษกับอเมริกัน
- แบบอังกฤษ : วัน เดือน ปี Day-Month-Year
ตัวอย่าง 6 April 2021 - แบบอเมริกัน : ปี เดือน วัน Month-Day-Year
ตัวอย่าง April 6, 2021
ไม่แนะนำให้เขียนเป็นตัวเลขอย่างเดียว เช่น 6/4/2021 เพราะอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้
Step 2: คำทักทาย
เราควรเริ่มต้นการทักทายด้วยคำสุภาพเสมอค่ะ โดยอาจจะดูว่านายจ้างที่เราต้องการเขียนถึงเป็นใคร อยู่ตำแหน่งไหน เราจะได้ใช้ระดับคำที่ถูกต้องและไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ว่านายจ้างที่เราเขียนถึงเป็นใครก็ให้ใช้คำที่เป็นกลางที่สุดคือ “Dear Sir / Madam”
ตัวอย่างคำที่ใช้ทักทาย หรือ opening
- Dear Sir or Madam,
- Dear Mr. / Mrs. … ชื่อนายจ้าง หรือหัวหน้าแผนก
Step 3: เนื้อหาในจดหมาย
ย่อหน้าที่ 1
ในย่อหน้าแรกให้เริ่มต้นด้วยการเขียนตำแหน่งงานที่ต้องการสมัคร และต้องเขียนด้วยว่าเราทราบข่าวหรือประกาศการรับสมัครงานนี้มาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นทางอินเทอร์เน็ตหรือจากโฆษณาก็สามารถเขียนลงไปได้หมดเลย
ตัวอย่างการบอกเกี่ยวกับตำแหน่งที่ต้องการ
- I wish to apply for the position of…
- I am writing to express my interest in the position of…
ย่อหน้าที่ 2
หลังจากที่เราเกริ่นเรื่องตำแหน่งที่ต้องการแล้ว ต่อมาในย่อหน้าที่ 2 ก็ถึงเวลาขายของแล้วค่ะ เพราะเป็นย่อหน้าที่ควรบอกว่าเราจะทำอะไรให้แก่บริษัทบ้าง ความสามารถในการรับผิดชอบมีแค่ไหน ให้เขียนเป็นสรุปสั้นๆ กระชับเกี่ยวกับทักษะ ประสบการณ์ และความสำเร็จที่เคยผ่านมา พี่ขอแนะนำให้ใช้สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย หรือ bullet point ในการแยกข้อความเพื่อให้อ่านง่ายขึ้นก็ได้ค่ะ
ตัวอย่างการบอกเหตุผลว่าทำไมถึงเหมาะกับตำแหน่งนี้
- I believe I would be the ideal candidate based on the fact that …
- I consider myself to be a … (ใส่นิสัยที่ดีของเรา) worker.
เช่น I consider myself to be an efficient and enthusiastic worker.
ฉันเป็นคนที่มีประสิทธิภาพและกระตือรือร้นในการทำงาน - I feel I am suitable for this role as I have a great deal of experience in… (ใส่ประสบการณ์ที่ผ่านมา)
ย่อหน้าที่ 3
ย่อหน้าที่ 3 เป็นการกลับมาย้ำอีกครั้งว่าเรารู้จักนายจ้างหรือบริษัทได้ยังไง และทำไมถึงต้องการสมัครงานกับที่นี่ อาจจะเขียนว่าเป็นความฝันตั้งเด็ก หรือคิดมานานแล้วว่าอยากร่วมงานด้วย แต่ขอดอกจันไว้เลยนะคะว่า อย่าแต่งเรื่องหรือเขียนข้อมูลมั่วๆ หรืออะไรก็ตามที่เราไม่ได้ทำจริงๆ เพราะการโกหกตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่เรื่องดีค่ะ และถ้าโดนจับได้ก็จะเป็นการลบความน่าเชื่อถือของตัวเราเองด้วย
ย่อหน้าที่ 4
ย่อหน้าสุดท้ายเป็นการปิดจบ ให้เราเขียนขอบคุณที่บริษัทเสียเวลาอ่าน / ขอบคุณที่พิจารณา รวมถึงขอบคุณสำหรับคำตอบที่เราจะได้รับในอนาคตด้วย และถ้าหากมีเอกสารอื่นเพิ่มเติม ก็ให้เขียนไปด้วยค่ะว่าเราแนบมาด้วยนะ เช่น Resume หรือ CV
ตัวอย่างการบอกว่าเรามีเอกสารอื่นแนบมา
- Please find CV attached (emails) / enclose (letters)
- Please find enclosed my Resume.
- I have enclosed my Resume and CV.
ส่วนการลงท้ายจดหมายนั้น ก็ควรจะลงท้ายด้วยคำสุภาพเหมือนเดิมค่ะ จากนั้นให้ลงลายเซ็น พร้อมชื่อ-นามสกุลอีกครั้ง เพื่อเป็นการปิดท้ายจดหมายอย่างสมบูรณ์
ตัวอย่างการบอกว่าเรารอการตอบกลับ
- Thank you for your consideration, and I look forward to hearing from you soon.
- I appreciate your quick response.
- Hope to hear from you soon.
ตัวอย่างคำลงท้ายที่สุภาพ
- Yours sincerely, หรือ Sincerely yours, (ในกรณีที่รู้จักชื่อนายจ้าง/หัวหน้าแผนก)
- Yours faithfully, หรือ Faithfully yours, (ในกรณีที่ไม่รู้ว่าต้องส่งถึงใคร)
สรุปอีกครั้ง! สิ่งที่ต้องมี ใน Cover Letter
- ตำแหน่งที่ต้องการสมัคร
- รู้จักงานนี้จากที่ไหน
- เหตุผลที่คิดว่าเหมาะกับงานนี้
- ความสามารถเราเหมาะกับบริษัทอย่างไร ทำไมถึงอยากทำงานที่นี่
- ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับการพิจารณาและคำตอบที่จะได้ในอนาคต
Step 4: พิสูจน์อักษร (อ่านทบทวน)
Last step ของเรานั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ‘ต้อง’ เช็กอีกรอบก่อนที่จะส่งไป การเขียนจดหมายสมัครงานที่มีข้อผิดพลาดนั้นไม่ต่างอะไรกับการปิดโอกาสของตัวเองเลยล่ะค่ะ เพราะมันเป็นการแสดงถึงว่าเราอาจไม่มีความพร้อม ไม่จริงจัง หรือใช้เวลาไม่เพียงพอกับงานที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นการตรวจทานก่อนส่งเลยเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกกก แต่ถ้าหากกลัวแกรมมาร์ผิดก็ลองเอาไปเช็กได้ที่เว็บ Grammarly ดูก็ได้ค่ะ
Photo Credit: www.grammarly.comและทั้งหมดนี้ก็เป็น 4 วิธีในการเขียน Cover Letter เพื่อยื่นสมัครงานค่ะ อย่าลืมว่าถ้าเราเขียนดีเราก็จะได้เปรียบคนอื่นแล้ว 1 คะแนน เพราะฉะนั้นถ้าใครกำลังมองหางาน และกำลังตัดสินใจเข้าสมัครก็อย่าลืมนำวิธีนี้ไปใช้กันนะคะ ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ ^^
Sources://www.thejub.com/millennial-career-resources/how-to-write-cover-letter-examples //www.sampletemplates.com/letter-templates/job-introduction-letter.html //www.grammarly.com/grammar-check