โปรแกรมเที่ยวเกาหลีด้วย ตัว เอง 5 วัน

ทริปนี้บุ๊คก้าจะพาไปเที่ยว “Seoul”

เมืองหลวงของเกาหลีใต้กันค่ะ

บุ๊คก้าเดินทางไปช่วงเกือบๆ ปลายเดือนตุลาคม เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ถ้าใครอยากไปเที่ยวดูใบไม้สวยๆ แนะนำให้เลือกไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายนะ

แต่ละปีจะมีช่วงใบไม้เปลี่ยนสีพีคต่างกันออกไป พยากรณ์อากาศจะออกมาประมาณ 1 เดือนก่อนเข้าช่วงใบไม้เปลี่ยนสียังไงอย่าลืมเช็คพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสีจากเว็บการท่องเที่ยวเกาหลีกันด้วยนะจ๊ะ

ทริปนี้บุ๊คก้าวางแผนการเดินทางช่วงวันหยุดยาว เลยเลือกจองตั๋วเครื่องบินและที่พักผ่านเว็บไซต์ www.traveloka.com/th-th เพราะเป็นช่วงวันหยุด หาจองตั๋วเครื่องบินกับที่พักราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าตังค์จากที่อื่นยากอยู่ค่ะ เลยจองผ่าน Traveloka ไปเลยทีเดียว เพราะหาตั๋วเครื่องบินและที่พักราคาย่อมเยาได้ง่ายขึ้นค่ะ ยังไงลองไปเช็คราคาตั๋วเครื่องบินกับที่พักกันก่อน จะได้วางแผนกิน ช้อป เที่ยว ได้ง่ายขึ้นค่ะ

จองตั๋วเครื่องบินไปเกาหลีกับ Traveloka > คลิกที่นี่

จองที่พักเกาหลีกับ Traveloka > คลิกที่นี่

สรุปว่าทริปนี้บุ๊คก้าเลือกบินกับสายการบิน T’way เป็นสายการบิน Low cost ของเกาหลีใต้ ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ สายการบินนี้ต่างจากสายการบินอื่นตรงที่ สามารถหิ้วกระเป๋าขึ้นเครื่องได้ 10 กิโลทำให้ช้อปได้มากขึ้น ส่วนประเป๋าโหลดใต้เครื่องได้อีก 15 กิโล รวมเป็น 25 กิโลค่ะ เครื่องบินเป็นเครื่องรุ่นเล็ก 3 ที่นั่ง 2 ฝั่งซ้าย-ขวา บนเครื่องเสิร์ฟน้ำเปล่าฟรี เราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ถึงสนามบินอินชอนประมาณ 5 ชั่วโมง 20 นาที

เครื่องออกตอน 01.20 น. ไปถึงอินชอน 08.40 น. (เวลาที่เกาหลีเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง)

Day 1 : HELLO Myeongdong

พอถึงสยามบินเราก็ผ่าน ตม. กันตามระเบียบ รับกระเป๋าเสร็จก็ออกมาหาข้าวกินกันก่อนที่ชั้น B1 เดินเลือกหาร้านอยู่สักพัก สรุปมากินร้าน CJ Foodworld ซึ่งเป็นร้านที่รวมอาหาร 3 ชาติ คือ เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน แต่มาถึงเกาหลีแล้วจะไปกินอาหารชาติอื่นได้อย่างไร ต้องอาหารเกาหลีเท่านั้นสิจ๊ะ ต้มกิมจิร้านนี้ออกรสเปรี้ยวๆ อร่อยดีค่ะ

ยังไม่พอค่ะ กินข้าวเสร็จยังจะแวะมากินของหวานกันต่อที่ร้าน A Twosome Place เค้กร้านนี้คือนุ่มฟูเบาอร่อยสุดๆ

จากนั้นก็ออกเดินไปเมียงดง ด้วย Airport Bus สาย 6015 ราคา 14,000 Won รถบัสจะจอดอยู่หน้าสนามบินที่ Terminal 1 ช่อง C5-2 ให้ซื้อตั๋วรถที่ Ticket box หน้าช่องจอดได้เลยค่ะ รถบัสจากสนามบินเข้าเมียงดง จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 70 – 80 นาที

มาถึงเมียงดงแล้วเราก็ลากกระเป๋าไปเช็คอินที่พักกันเลย  ทริปนี้เราอยู่แต่ในโซล เลยเลือกจากที่พักใจกลางเมียงดง เพราะเดินทางสะดวก และช้อปง่ายด้วยจ้า ^_^ บุ๊คก้าเลือกพักที่โฮสเทสชื่อว่า K-Grand Hostel เป็นโฮลเทสเล็กๆ อยู่ชั้น 3 บนตึก ใต้ตึกมีร้านอาหารเปิด 24 ชั่วโมง และซุปเปอร์มาเก็ตด้วย

มาดูห้องพักกันค่ะ ห้องพักขนาดไม่ใหญ่มาก มีตู้เย็นและห้องน้ำในตัว มีทีวีแต่เราไม่ได้ใช้ มีแอร์แต่เราไม่ได้เปิด 555 เพราะอากาศหนาว มีหน้าต่างเล็กๆ เราเปิดหน้าต่างเอาก็เย็นอย่างกะเปิดแอร์แล้วค่ะ สภาพห้องพักระดับกลางไม่เก่ามาก แต่สะอาด และสะดวกดีค่ะ

ที่พักมีอาหารเช้าให้แบบบริการตัวเอง มีครัวให้ทำกินกันเอง ของที่มีให้ก็จะมีไข่ไก่ ขนมปัง คอนเฟล็กซ์ น้ำผลไม้ นม น้ำเปล่า แยม เนย เครื่องปรุงต่างๆ และน้ำมัน ส่วนเครื่องครัวก็มีให้ครบค่ะ

เก็บของเข้าห้องพักเสร็จก็บ่ายแก่ๆ แล้ว เราก็เลยเริ่มทริปเบาๆ ด้วยบุฟเฟ่ต์หมูย่างเกาหลีกันค่ะ ^_^

Ungteori Korea BBQ  ร้านหมูย่างเกาหลีบุฟเฟ่ต์​ใจกลางเมียงดง ราคา 14,800 won ต่อคน (2 ชั่วโมง)​เนื้อหมูที่ร้านนี้เสิร์ฟ​จะมีแค่ 2 แบบคือ หมูสามชั้น และสันคอหมู นอกจากหมูแล้วสิ่งที่เด่นของร้านนี้คือเครื่องเคียง กิมจิร้านนี้คืออร่อยกำลังดี น้ำจิ้มก็เลิศมาก คือทุกอย่างลงตัวโอเคไปหมด ใครอยากได้ข้าวเปล่าต้องสั่งเพิ่ม 1,000 won ต่อถ้วย แต่บริการน้ำเปล่าฟรีไม่อั้น

กินเสร็จแล้วก็มาเดินย่อยด้วยการช้อปปิ้งในเมียงดงกันต่อ ในเมียงดงไม่ได้มีแต่ร้านขายเครื่องสำอางนะคะ ร้านเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ขนมก็มีค่ะ ที่น่าสนใจไม่แพ้ของใช้ก็คือ Street food ที่มีขายตลอดทาง

ช้อปเสร็จแล้วกลับมาพักผ่อนเพื่อเก็บแรงออกไปเที่ยวธรรมชาติกันแต่เช้าในวันพรุ่งนี้ค่ะ

Day 2 : Color of Natural

วันนี้เราออกเดินทางกันแต่เช้าเพื่อไปเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีและทุ่งหญ้ากันที่ “Haneul Park”

สวนฮานึล หรือ Haneul Park สามารถเดินทางไป 2 วิธีคือ MRT หรือรถเมย์ บุ๊คก้าเลือกนั่ง MRT จากสถานีเมียงดง ไปลงที่สถานี World Cups Stadium

ฮานึลปาร์คเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ จุดเด่นคือทุ่งดอกหญ้าที่อยู่บนเขา และจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวสนามกีฬาและแม่น้ำฮันได้ด้วยค่ะ

วิธีเดินทางไปชมทุ่งดอกหญ้ามี 2 วิธีคือ เดินขึ้น-ลง หรือนั่งรถขึ้นไป 3,000 won ขาลง 2,000 won (ไม่บังคับซื้อขึ้น-ลงนะคะ)

บุ๊คก้าเลือกวิธีเดินขึ้นเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเที่ยว ส่วนขาลงใช้วิธีนั่งรถลงเพราะหมดแรงแล้วจ้า ^_^

เราใช้เวลาที่นี่ค่อนข้างนาน เพราะนอกจากทุ่งดอกหญ้าแล้ว ยังมีใบไม่เปลี่ยนสี และทุ่งดอกโคเชีย บอกเลยว่า ใครที่ชอบถ่ายรูปกับธรรมชาติสวยๆ ให้เผื่อเวลาเที่ยวที่นี้ให้เยอะหน่อย เพราะถ่ายตรงไหนก็สวย ถ่ายรูปเพลินมากค่ะ

ลงมาจากสวนก็มาแวะหาอะไรรองท้องกันที่ร้านขายของด้านล่าง ร้านนี้มีของขายเยอะและหลากหลายมากค่ะ คนมานั่งกินกับเพียบเลย

หลังจากเที่ยวชมธรรมชาติกันหนำใจแล้ว เราก็นั่งรถบัสไปอีฮาวากันต่อ วิธีเดินทางจาก Haneul Park ไป Ehawa สามารถไปได้ทั้งวิธีนั่ง MRT ไปลงสถานี Ewha Womans University หรือนั่งรถเมย์ไปก็ได้ ถ้าอยากนั่งรถเมย์ให้เปิด Google Map ดูสายรถเมย์ได้เลยค่ะ มีรถเมย์ไปได้หลายสายเลย

Ewha Womans University เป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นที่นิยมมาถ่ายรูปเล่นกันมาก เพราะมีมุมสวยๆ หลายมุม และมี Street shopping ให้เดินเล่นด้วยค่ะ เราแวะมาที่นี่เพื่อถ่ายรูป ถ่ายรูป และถ่ายรูป เพราะสวยจริงๆ

เสร็จแล้วเราก็นั่งรถเมล์ไปช้อปปิ้งและหาของกินที่ Hongdae Shopping Street กันต่อค่ะ

แต่…กองทับต้องเดินด้วยท้อง ก่อนจะไปช้อปปิ้งก็ต้อง กิน กิน กิน สักสักนิสสสสสสส มือนี้เราอยากหากร้านที่มีปูดองขายกิน แต่ไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน บุ๊คก้าเลยใช้สัญชาตญาณในการตามหาของกิน โดยการเดินไปทิศที่คิดว่า มันน่าจะมีร้านอาหารอร่อยๆ ซ้อนอยู่นะ (เราใช้วิธีนี้บ่อย ประมาณ 80% จะเจอร้านอร่อยเสมอ) ความสนุกของการเที่ยวด้วยตัวเอง คืออย่าไปรู้อะไรมันเยอะค่ะ แล้วไปสัมผัส ไปค้นหา ไปลองด้วยตัวเอง ประสบการณ์มันจะแตกต่างจากการเที่ยวตามรีวิวเยอะเลย ^_^ แต่อย่าพึ่งปิดหน้าจอออกจากเว็บไปน้า มาดูกันก่อน ไม่เที่ยวตาม กินตามไม่เป็นไรจ้า

เดินมาไม่นาน เราก็เจอค่ะ ร้านนี้บุ๊คก้าขอตั้งชื่อให้ว่า “ร้านปูดอง อาจุมม่า” เพราะอ่านชื่อร้านไม่ออก 555

​ร้านนี้อยู่ในย่านฮงแด แต่เป็นคนละฝั่งกับ Shopping Street เมนูอาหารในร้านมีหลายอย่าง แต่ Highlight เป็นเมนู “ปูดอง” ขายเป็นตัว ตัวละ 35,000 won ราคาไม่ถูกไม่แพง ปูตัวใหญ่ ไข่แน่น เสิร์ฟ​พร้อมกับ ซุปกิมจิ (เป็นซุปเนื้อนะคะ คนไม่กินเนื้อต้องข้ามเมนูนี้ไป) ​ ไข่ตุ๋นนุ่มๆ ฟูๆ และปลาย่าง ส่วนเครื่องเคียงมีทั้งหมด 6 อย่างค่ะ ในรูปเราสั่งปลามาเพิ่มอีกตัว (ตัวใหญ่ที่ฝ่าครึ่ง)​

ความน่ารักของร้านนี้คือ ทั้งร้านมีแต่ สว. ให้บริการ เค้าพูดภาษาอังกฤษ​ไม่ค่อยได้ แต่พยายามสื่อสารและบริการมากๆ ค่ะ ระหว่างกินมีมาถามด้วยว่าให้เค้าถ่ายรูปรวมให้ไหม พอกินเสร็จ ยังมีแถมเสิร์ฟ​นมเปรี้ยวให้ด้วย น่ารักสุดๆ

ใครอยากกินปูดองในบรรยากาศ​อบอุ่น บ้านๆ ไม่วุ่นวาย ลองแวะ​ไปชิมที่ร้านนี้ดูนะคะ รสชาติ​อาหารอร่อยแบบธรรมชาติ​ไม่ปรุงแต่งมาก ปลาย่างอร่อย ปูไข่เค็มๆ มันๆ ค่ะ

เวลาเปิด-ปิด ไม่แน่ชัด น่าจะประมาณ​ 11 โมง -​ 4ทุ่มค่ะ

แชร์​พิกัดร้านให้แบบละเอียด​ๆ จะได้ไม่หลงค่ะ

– ลงรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานี Hongik ออกทางประตู​ 2 จากนั้นเดินเข้าซแน แล้วเลี้ยวซ้ายแยกแรก เดินไปอีกสักหน่อย จะเป็นป้ายร้านขาวๆ ร้านอยู่ด้านขวามือค่ะ

จากนั้นก็ได้เวลาช้อปปิ้งของจริง เราเดิมย่อย และเดินดูบรรยากาศช้อปในย่าน “ฮงแด” กันต่อค่ะ ย่านนี้ไมได้เป็นแค่ย่านช้อปและของกิน แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะมีถนนเส้นนึงที่เปิดเป็นพื้นที่ให้วัยรุ่นเกาหลีมาแสดงความสามารถร้องเล่นเต้นโชว์กันค่ะ ใครอยากดื่มด่ำความเป็นเกาหลีเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ให้มาเดินที่นี่ค่ะ

เดินไปเดินมา มาเจอร้านเค้กร้านนี้ถึงกับต้องหยุด เพราะเค้าขายเค้กทั้งก้อนในราคา 10,000 Won เท่านั้น จะรออะไรหละคะ จัดมา 1 ก้อนแต่โดยไว ถือว่าอร่อยสมราคา เค้กเนื้อนุ่ม ครีมไม่หวาน Topping ดี สรุปคือ ถ้ากินไหวจะซื้ออีก 555

ได้เค้กแล้วเราก็กลับที่พัก ไปกินเค้กและนอนเอาแรงเตรียมเที่ยววันพรุ่งนี้ต่อค่ะ

Day 3 : Culture Day

วันนี้เรามีนัดไปถวายตัวเป็นนางสนมกันค่ะ ^_^ ว่าแล้วก็ตื่นเช้านั่ง MRT ไปลงสถานี Anguk เพื่อไปร้านเช่าชุดฮันบกในย่านอินซาดง ที่เลือกเช่าชุดร้านนี้เพราะว่าตอนเย็นเราจะกลับมาเดินเล่นย่านนี้กันต่อค่ะ

ร้านเช่าชุดฮันบก Kukmin เป็นที่นิยมมากในหมู่คนไทย เพราะมีหลายคนเคยรีวิวไว้แล้ว ขึ้นไปถึงก็เจอคนไทยเพียบเลยค่ะ แนะนำให้ไปแต่เช้า ตั้งแต่เปิดร้าน คนจะได้ไม่เยอะ จะได้มีโอกาสเลือกชุดแบบที่ชอบด้วยค่ะ

ตั้งร้านจะอยู่ชั้น 3 เดินขึ้นไปได้เลย ค่าเช่าชุดฮันบกจะต่างกันออกไปตามแบบและเวลาที่เลือกเช่า สิ่งที่ได้จากการเช่าชุดคือ ชุดฮันบก กระเป๋าถือ และบริการทำผมพร้อมเครื่องประดับแบบมาตรฐาน แต่ถ้าอยากได้เครื่องประดับพิเศษก็จ่ายเงินเพิ่มได้ค่ะ บุ๊คก้าเลือกเช่าชุดแบบมาตรฐาน แค่ 4 ชั่วโมงค่ะ เพราะกว่าจะเลือกชุดเสร็จ ก็ 11 โมงแล้ว แถมตอนเย็นจะไปเดินที่อื่นต่อ เลยเช่ามันแค่ 4 ชั่วโมงละกัน ค่าเสียหายหมดไป 13,000 Won

แต่งตัวเสร็จแล้ว เราก็พร้อมไปเข้าวังกันแล้วค่ะ ในย่านนี้จะมีพระราชวังอยู่ 2 แห่ง คือ พระราชวังเคียงบกกุง และพระราชวังชางด็อกกุง ตอนแรกกะว่าจะไปทั้ง 2 วัง แต่เราเช่าชุด 4 ชั่วโมง กลัวกลับมาคืนชุดไม่ทัน เลยตัดสินใจไปแค่พระราชวังเคียงบกกุงที่เดียวค่ะ

พระราช​วังเคียง​บก​กุ​ง​ หรือ​ค​ยอง​บก​กุง (Gyeongbokgung Palace) เป็นพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ และมีความเก่าแก่อีกแห่งของเกาหลี ด้านหลังของวังจะมีภูเขาชื่อว่า พูกักซาน เป็นฉากหลัง ทำให้ดูยิ่งใหญ่อลังการกว่าพระราชวัง​อื่น วังนี้ตั้งอยู่ที่โซล สร้างขึ้นปี 1394 สมัยพระเจ้าแทโจ ค่าเข้าชม 3,000 won แต่ถ้าใส่ชุดฮันบกมาเข้าฟรีเลยจ้า

ที่วังนี้จะมีเวลาสับเปลี่ยนเวรย่ามอยู่ 2 ช่วงเวลา คือ 11.00 น.และ 14.00 น.

บอกเลยว่าการเช่าชุดฮันบกมาเที่ยววังแบบนี้ทำให้ฟินสุดๆ และถ่ายรูปได้สนุกมากๆ หลังจากเราเดินชมวังจนทั่วแล้วก็ได้เวลาไปคืนชุดแล้วค่ะ

ระหว่างทางเดินกลับ เจอร้านขายเก๋าลักเกาหลีแบบแท้ๆ เลยแวะกินกันสักหน่อย

หลังจากคืนชุดเสร็จ ก็ได้เวลาเดินเล่น ชมงานศิลปะในย่าน “Insadong” อินซาดงเป็นย่านที่มีงานศิลปะให้ชมและเลือกซื้อกันหลากหลายรูปแบบ ทั้งภาพวาด เสื้อผ้า งานฝีมือ หรือจะเป็นการแสดงศิลปะข้างถนน ก็มีให้เห็นกันเป็นระยะ รวมถึงมีของที่ระลึกแนวของฝากให้เลือกช้อปกันด้วย

เดินสักพัก อ้าว…หิวอีกและ 555 งั้นหาข้าวกินกันก่อน เลยเดินเข้าซอย xxxxx ไปหาของกิน เดินทางแบบไร้พิกัดตามสัญชาตญาณอีกเช่นเคย จนมาเจอร้านนี้ค่ะ

ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ในซอย อินซาดง 7 เดินเข้าไปเจอ 3 แยก ก็จะเจอร้านซ้ายมืออยู่ตรงแยกพอดีค่ะ ที่บรรยากาศดูอบอุ่น เป็นร้านอาหารเกาหลีแบบดั้งเดิม มีเมนูอาหารเกาหลีครบทุกอย่าง จะรอช้าอยู่ใย สั่งมันทุกอย่างที่อยากกินไปเลย 555 สั่งเยอะจนพนักงานตกใจ เค้ากลัวเรากินไม่หมด ใช่ค่ะเรากินไม่หมดกันจริงๆ เพราะอาหารเกาหลีจ่ายใหญ่มาก แต่เราอยากกินทุกอย่าง ฉะนั้นเราก็จะสั่งไปแบบ No สน No แคร์

กินอิ่มแล้วก็ย้ายพิกัดไปช้อปปิ้งกันต่อที่ Lotte Outlet และ Lotte Mart โดยการนั่งรถเมย์ไปค่ะ ระหว่างทางเดินไปนั่งรถเมย์แอบเดินเลยป้ายไปหน่อย ทำให้ได้เจอวัด Jogyesa temple ค่ะ ไหนๆ ก็มาถึงหน้าวัดแล้ว ต้องขอเข้าไปสักการะ และชมความงามของวัดกันสักครู่

จากนั้นเราก็ขึ้นรถเมย์ไป Lotte Outlet และ Lotte Mart กันต่อค่ะ เราเดิน Outlet ไม่นาน เพราะได้ของที่ตั้งใจมาหาซื้อแล้ว เลยมีเวลาไปเดิน Lotte Mart ซื้อของกิน ขนม ของฝาก กันเยอะหน่อยค่ะ ช้อปที่ Lotte Mart ดีตรงมีของให้เลือกเยอะ Refund ได้เลย และมีกล่องให้แพ็คกับด้วยค่ะ

Day 4 : Back to Child!

ทีแรกวันนี้เราตั้งใจไปเกาะนามิค่ะ แต่แผนการเดินทางของเราไม่เป็นตามคาด เพราะตื่นสาย และนั่งรถไฟผิด เลยเปลี่ยนแผน ทำให้ทริปนี้ของเราได้เป็นทริปเที่ยวในโซลอย่างแท้จริง เราเลยเปลี่ยนวันนี้ให้เป็นวันสนุกๆ แทน แบบนี้แหละค่ะเสน่ห์ของการ Backpack วางแผนเที่ยวด้วยตัวเองก็จะเจอสิ่งที่ไม่คาดฝันได้ตลอด และต้องปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ เปิดใจเที่ยวแล้วไหลไปเรื่อยๆ รับรองสนุกชัวร์ค่ะ

เราเลยตัดสินใจไปเที่ยวสวนสนุก Lotte World แทนค่ะ โดยนั่ง MKT มาลงสถานี Jamsil พอเดินออกมา เราจะพบกับดินแดนแห่ง Lotte เพราะที่สถานีนี้เป็นศูนย์รวมของ Lotte หลากหลายอย่าง ทั้ง Lotte World Tower ตึกที่สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของโลก มีความสูง 123 ชั้น, Lotte World Mall เป็นช้อปปิ้งมอลล์ที่มีทั้งเสื้อผ้า อาหาร และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และความบันเทิงอื่นๆ อีกเพียบ, Lotte Duty Fee อยู่ที่ชั้น 8 และ 9 ในตึก Lotte World ราคาของที่นี้ถูกกว่าข้างนอกเล็กน้อย ที่ชอบคือมีโปร Top up ส่วนลดของบัตรเครดิตหลายแบรนด์มาก เรียกได้ว่า พอลดเสร็จก็ถูกกว่าช้อปปิ้งข้างนอกแน่นอน

กลายเป็นว่าวันนี้เริ่มด้วยการช้อปปิ้ง หาของกินกินใน Lotte World Mall และ Duty Fee กันก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวส่วนสนุกกันต่อค่ะ ในห้างมีร้านเยอะมาก และห้างก็ใหญ่มาก ร้านอาหารก็มีให้เลือกเยอะค่ะ

กว่าจะกิน กว่าจะช้อปกันเสร็จ ก็ปาไปบ่าย 3 โมงกว่า เลยตัดสินใจว่ารอเข้าส่วนสนุก Lotte World Adventure กันตอน 4 โมง เพราะตั๋วเข้าจะมีแบ่งขายเป็นรอบ ถ้าเข้าตอน 4 โมง จะซื้อตั๋วได้ราคาถูกกว่าค่ะ ถ้าใครตั้งใจมาเล่นเครื่องเล่น แนะนำว่าให้มาแต่เช้า ตั้งแต่เปิดสวนสนุกเลยค่ะ รับรอบคุ้มมาก

แต่ถ้าใครวางแผนเที่ยวมาดีก แนะนำเลยให้ซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้ามาก่อน เพราะราคาถูกกว่ากันเยอะอยู่ค่ะ > เช็คราคาตั๋วออนไลน์

จุดขายตั๋วจะมีหลายจุดทุกทิศทุกทาง ตั๋ว 1 ใบจะมี Magic pass มาให้ 3 ใบ สำหรับใช้จองคิวล่วงหน้า แต่ต้องกดผ่าน App บนมือถือ ด้วยความที่เราไปรอบเย็น สรุปว่าไม่ได้ใช้ Magic pass เลย เพราะถูกใช้สิทธิ์เต็มหมดแล้ว แง แง

ในสวนสนุก Lotte World Adventure มีร้านอาหารด้วยนะคะ มีทั้งแบบกินจริงจัง และกินแบบเร็วๆ พวกเรามัวแต่ต่อคิวเล่นเครื่องเล่นกันเพลิน จนร้านข้าวจะปิด เลยได้กินอะไรเบาๆ เร็วๆ

แล้ววิ่งไปเล่นเครื่องเล่นกันต่อ เล่นเครื่องเล่นที่นี่จนปิด (4ทุ่ม) แล้วค่อยกลับที่พัก

แต่… ยังค่ะ ยังไม่หมดวัน ระหว่างกลับที่พักนึกได้ว่า ทางเดินกลับที่พักเราจะได้ผ่าน YP Republic เพื่อนในทริปคนนึงเป็นสาวก YP เพื่อคงคอนเซปช้อปทุกคืน เลยแวะช้อปกันต่อ ตอนแรกกะจะกินปิ้งย่างกันต่อด้วย แต่ร้านปิ้งย่างปิดแล้ว เลยได้แค่ช้อปแล้วกลับที่พักค่ะ

Day 5 : Chill Day

มาถึงวันสุดท้ายแล้ว เช้ามากก็กินข้าวที่โฮสเทลแบบทุกวัน แล้วลากกระเป๋าออกมาเช็คเอ้าท์แล้วฝากกระเป๋าไว้กับที่พักก่อน วันนี้บุ๊คก้าต้องไปถึงสนามบินตอน 5 โมงครึ่ง มีเวลาเที่ยวได้ถึงแต่บ่าย 3 โมง เลยเลือกเที่ยวแบบชิลชิล สถานีใกล้ๆ เมียงดง เลยตัดสินใจไปย่านดงแดมุน โดยนั่ง MRT ไปลงที่สถานี Dongdaemun history & Culture park

ถึงสถานีแล้วให้เดินไปทางออกที่ 1 เราก็จะพบกับ Dongdaemun Design Plaza (DDP) ที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการออกแบบ และศูนย์สำหรับงานการออกแบบซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ โซน Design Market โซนนี้จะเปิด 24 ชั่วโมง, โซน Art Hall, โซน Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของเกาหลี, โซน Design lap และโซนสุดท้ายอยู่บริเวณรอบนอกคือ Dongdaemun History & Culture Park เป็นสวนสาธารณะที่รวมประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของทงแดมุน

อีกหนึ่ง Highlight ที่พลาดไม่ได้ สำหรับ DDP คือ LED Rose Garden ทุ่งดอกกุหลาบ LED ที่จะเปิดไฟทุกๆ 5 โมงครึ่ง แอบเสียดายที่อยู่จนถึงตอนเปิดไฟไม่ได้ เพราะต้องรีบไปขึ้นเครื่อง แต่ขนาดไม่เปิดไฟก็ยังสวยมากอยู่ดี

ออกมาจาก DDP เราเดินเลี้ยวไปทางขวาตามทางไปเรื่อยๆ จะเจอกับประตูทงแดมุน และสวนสาธารณะทงแดมุนซอกกวาก (Dongdaemun Seonggwak Park) ที่นี่เป็นอีกหนึ่ง landmark ที่ผู้คนมักจะแวะมาถ่ายรูปกัน เป็นสวนธารณะที่สวยมาก อย่างกะจัดฉากไว้สำหรับถ่ายรูปเลยทีเดียว

นอกจากนี้ในย่านดงแดมุนยังเป็นศูนย์รวมห้างและร้านขายส่ง ในย่านนี้มีตึกช้อปปิ้งรายล้อมอยู่รอบทุกทิศทาง ใครอยากช้องเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าราคาส่ง แวะมาช้อปที่นี่ได้เลยค่ะ

เอาหละ ได้เวลาต้องกลับไปเมียงดงเอากระเป๋าเพื่อไปสนามบินแล้ว บุ๊คก้าเลือกไปสนามบินด้วย Airport Bus เหมือนตอนมาค่ะ เพราะว่ากระเป๋างอกมา 1 ใบ ลงรถใต้ดินจะลำบากเกินไป ค่ารถกลับไปสนามบินราคา 15,000 won จ่ายเงินแล้วแจ้ง Terminal กับคนขายตั๋วได้เลยค่ะ ใช้เวลาขากลับประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง รถในโซลค่อนข้างติด ถ้าใครออกจากโซลช่วงเย็น ยังไงเผื่อเวลากันหน่อยนะคะ

พาเที่ยวสำหรับทริปนี้บุ๊คก้าก็พาเที่ยวโซล Highlight ในโซลไปหลายย่าย คิดว่าน่าจะเป็นไอเดียทำแพลนเที่ยวสำหรับคนที่จะมาโซลด้วยตัวเองนะคะ

ติดตามเรื่องกิน เที่ยว บิ้วตี้ กันได้ที่ www.bookcamashare.com

หรือแวะไปกด Like เพจ www.facebook.com/BookcaMaShare

เพื่อติดตามเรื่องราวอัปเดทกันได้เรื่อยๆ เลยค่ะ สำหรับรีวิวนี้บุ๊คก้าก็ต้องขอจบไว้เพียงเท่านี้นะคะ

บ๊ายบายค่ะ ^_^

บทความแนะนำ

 

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน แปลภาษาอาหรับ-ไทย Terjemahan ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ศัพท์ทางทหาร military words แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 พจนานุกรมศัพท์ทหาร ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง ไทยแปลอังกฤษ ประโยค lmyour แปลภาษา การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 ประปาไม่ไหล วันนี้ ฝยก. ย่อมาจาก หยน ห่อหมกฮวก แปลว่า เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษาจีน ่้แปลภาษา onet ม3 การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 1 ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง ตตตตลก บบบย ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คาราโอเกะ เขียน อาหรับ แปลไทย เนื้อเพลง ห่อหมกฮวก แปลไทย asus zenfone 2e กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น การประปานครหลวง ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบภาษาอังกฤษ ม.ปลาย พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ชขภใ ชื่อเต็ม ร.9 คําอ่าน ตัวอย่าง flowchart ขั้นตอนการทํางาน นยน. ย่อมาจาก ทหาร บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ฝสธ. ย่อมาจาก มัดหัวใจเจ้าชายเย็นชา 2 ซับไทย มัดหัวใจเจ้าชายเย็นชา 2 เต็มเรื่อง ยศทหารบก เรียงลําดับ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 รัชกาลที่ 10 ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คอร์ด