2.พิมพ์ปากทำแบบจำลองฟัน เพื่อดูการสบฟัน โครงสร้างฟัน และเอกซเรย์ฟัน เพื่อดูลักษณะกระดูกขากรรไกร
3.ทำการเคลียร์ช่องปาก เช่น การขูดหินปูน การอุดฟัน และการถอนฟัน
4.ทำการติดเครื่องมือจัดฟันและนัดหมายมาพบเดือนละครั้ง เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนเครื่องมือ / ยางดึงฟัน
5.หมั่นดูแลรักษาและแปรงฟันให้สะอาดเป็นพิเศษ และขูดหินปูนเป็นประจำ ทุกๆ 6 เดือน
6.หลังจัดฟันเสร็จและถอดเครื่องมือแล้ว ทันตแพทย์จะให้ใส่รีเทนเนอร์ เพื่อคงสภาพตำแหน่งของฟันหลังการถอดลวดจัดฟันแล้ว
คนไข้จำนวนมากเข้ามาพบกับทันตแพทย์จัดฟันด้วยเหตุผลว่าจะได้ยิ้มอย่างมั่นใจ การสบฟันที่ดีจะช่วยให้ฟันสวย โดยการลงทุนกับการจัดฟัน คุณจะได้รับรอยยิ้มที่สวยและช่วยเพิ่มความมั่นใจของคุณเอง
การจัดฟันไม่ได้ช่วยแค่เรื่องการสวยงามเท่านั้น ยังช่วยให้การสบฟัน ซึ่งส่งผลถึงการพูดและการเคี้ยวอีกด้วย
ช่วงที่ทำการปรึกษากับทันตแพทย์จัดฟัน คนไข้ยังสามารถสอบถามถึงการแก้ไขการสบฟันที่ผิดปกติได้ด้วย
หากฟันของคุณมีลักษณะดังต่อไปนี้ ควรพบหมอจัดฟันเพื่อให้คุณหมอจัดฟันวางแผนเพื่อการรักษา
1. ฟันยื่น (Protruding Upper Teeth)
หมายถึงระยะที่เหลื่อมกันในแนวดิ่งของขอบด้านตัดฟันซี่กลางบนและฟันตัดซี่กลางล่าง ค่าปกติของโอเวอร์ไบท์มีค่าระหว่าง 10 เปอร์เซ็นต์ ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหมายถึงจำนวนเปอร์เซนต์ที่ฟันตัดซี่กลางบนสบเหลื่อมฟันตัดซี่กลางล่างในแนวดิ่ง
2. ฟันสบเปิด (Open Bite)
คือการสบฟันชนิดที่ฟันตัดบนสบไม่เหลื่อมหรือสบห่างฟันตัดล่างในแนวดิ่ง การสบเปิดจะแบ่งเป็นการโอเวอร์ไบท์สมบูรณ์ หมายถึง ฟันตัดบนและฟันตัดล่างสบกันสนิท และโอเวอร์ไบท์ไม่สมบูรณ์ หมายถึง ฟันหน้าบนและฟันหน้าล่างสบกันไม่สนิท
3. ฟันกัดคร่อม (Crossbite)
การสบปกติของฟันหลังในแนวขวาง หมายถึง ส่วนโค้งแนวฟันหลังบนกว้างกว่าส่วนโค้งแนวฟันหลังล่าง แนวของปุ่มด้านแก้มของฟันหลังล่างสบอยู่แนวร่องกลางฟันของฟันหลังบน หรือปุ่มด้านแก้มของฟันหลังสบด้านแก้มต่อฟันหลังล่าง
การสบไขว้ในฟันหลัง หรือ ฟันหลังสบไขว้ อาจสบข้างเดียวหรือสบสองข้าง และแต่ละข้างอาจมีจำนวนฟันที่สบไขว้แตกต่างกัน
4. ฟันสบลึก (Over-jet or a Deep Bite)
โอเวอร์เจท หมายถึง ระยะห่างระหว่างจุดกึ่งกลางของขอบด้านตัดของฟันตัดซี่กลางบนกับจุดกึ่งกลางล่างในแนวระดับ ค่าโอเวอร์เจทของฟันน้ำนมคือ 0-4 มิลลิเมตร ค่าโอเวอร์เจทที่ผิดปกติได้แก่ การมีค่าโอเวอร์เจทเพิ่ม หรือโอเวอร์เจทลด
5. ฟันล่างคร่อมฟันบน (Underbite)
ฟันล่างครอมฟันบนเกิดจากขากรไกรที่ผิดปกติ อาจจะแก้ไขโดยการใช้เครื่องมือที่มีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของขากรรไกรตั้งแต่เด็ก คือ ควบคุมการเจริญเติบโตของกระดูกขากรรไกรล่าง หรือ กระตุ้นการเจริญเติบโตของขากรรไกรบน
6. ฟันห่าง (Spacing)
สภาวะที่มีช่องว่างระหว่างซี่ฟัน กรณีที่มีช่องว่างระหว่างฟันตัดบนแท้ซี่กลางเรียกว่า มิดไลน์ ไดแอสติมา ซึ่งอาจพบได้ในเด็กที่มีฟันตัดซี่กลางในระยะ อักลิ ดัคลิง คือ มีช่องว่างระหว่างฟันตัดบนแท้ซี่กลางร่วมกับฟันตัดบนซี่ข้างยื่นออกเล็กและเอียงไปทางด้านไกลกลาง เนื่องจากตำแหน่งของตัวฟันเขี้ยวบนอยู่ชิดกับรากฟันตัดซี่ข้างมาก และอาจพบช่องว่างระหว่างฟันชนิดที่พบได้ทั่วไปหรือพบได้เฉพาะที่
7. ฟันซ้อนเก (Crowding)
ฟันซ้อนเกเกิดจากการที่เนื้อที่ของสันเหงือกไม่เพียงพอกับเนื้อที่ของฟันที่ขึ้นอยู่ในช่องปาก หรือเกิดจากฟันขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันซ้อนเกนั้นเกิดขึ้นได้ทั้งด้านด้านหลังและด้านหน้า ฟันซ้อนเกมีทั้งชนิดธรรมดาและชนิดซับซ้อน สาเหตุของการซ้อนเกชนิดซับซ้อนต่างจากชนิดธรรมดาคือ มีความผิดปกติของกระดูกโครงสร้างร่วมด้วย
8. ฟันกัดเบี้ยว (Front Teeth Alignment )
ช่องว่างตรงกลางระหว่างฟันคู่หน้าระหว่างฟันล่างและฟันบนที่สวยงามควรจะมีตำแหน่งตรงกันและตรงกับปลายจมูก เมื่อตำแหน่งช่องว่างระหว่างฟันคู่หน้าบนและล่างไม่ตรงกันอาจเป็นไปได้ว่าตำแหน่งฟันซี่บนมีการเลื่อนจากตำแหน่งที่ควรเป็นหรือขากรรไกรล่างเบี้ยว นอกจากทำให้ฟันไม่สวยแล้วยังส่งผลต่อการสบฟันที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย
หลังจากที่ได้ให้ดูตัวอย่างฟันในแบบต่างๆ แล้ว หวังว่าคนไข้จะสามารถพิจารณาได้นะครับว่าฟันตัวคนไข้เองมีฟันแบบไหนและจะต้องจัดฟันหรือไม่ อย่างไรรีบปรึกษาหมอจัดฟันนะครับ เพราะอายุของคนไข้มีผลต่อความสำเร็จในการจัดฟัน
จัดฟันใช้เวลานานแค่ไหน นั้นโดยปรกติแล้วการจัดฟันโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีครึ่ง – 3 ปี จากที่เคยนำประวัติคนไข้เก่าๆ ที่เคยทำรักษาด้วยตัวเองเสร็จสิ้นแล้วประมาณ 1,000 คน พบว่า 80% ระยะเวลาในการรักษาก็เท่ากับ 2 ปีครึ่ง – 3 ปี ถ้าตอบแค่นี้อาจจะยังไม่ทำให้หลายๆคนหายคาใจว่า แล้วอะไรบ้างที่เป็นเหตุให้การจัดฟันช้าหรือเร็ว เรามาดูในรายละเอียดกันครับว่า องค์ประกอบที่มีผลต่อระยะเวลาในการจัดฟันนั้นมีอะไรบ้างสาเหตุที่จะทำให้การรักษาเสร็จช้าเร็วประกอบด้วย
1.) ตัวคนไข้เอง
2.) ทันตแพทย์ผู้ให้การรักษา
3.) ตัวช่วยอื่นๆที่ช่วยให้ฟันเคลื่อนได้เร็วขึ้น
1.สาเหตุจากตัวคนไข้เองแบ่งออกเป็น
1.1) อายุของคนไข้
โดยปกติแล้วฟันจะเคลื่อนที่ได้เฉลี่ยประมาณ 1 m.m./เดือน ในเด็กจะมีการซ่อมสร้างกระดูกและการตอบสนองต่อการเคลื่อนฟันจะดีกว่า นอกจากนี้ยังเกิดผลข้างเคียงน้อยกว่าในผู้ใหญ่
1.2) ความร่วมมือของคนไข้
– มาทำการรักษาตามนัดหมาย
หมอไม่สามารถทำการรักษาได้เลยหากคนไข้ไม่มาหา การจัดฟันนั้นเป็นการรักษาที่ต้องใช้เวลาในการรักษายาวนาน กว่าการรักษาฟันชนิดอื่นๆ การไม่มาตามนัดหมายจะทำให้การรักษายืดเยื้อและยาวนานขึ้น ผลการรักษาที่ออกมาไม่ดี เท่าที่ควรจะเป็น เบื้องต้นที่ได้กล่าวว่าการรักษาโดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 2 ปีครึ่ง – 3 ปี นั้น ถ้าจะว่ารายละเอียดขึ้นคือ ใน 2 ปีครึ่ง -3 ปี นั้นควรมาพบทันตแพทย์เพื่อปรับเครื่องมือเดือนละ 1 ครั้ง เท่ากับ 30 – 36 ครั้ง
- ฟันไม่ขยับ
- ฟันขยับไปในตำแหน่งที่ไม่ได้ต้องการ ทำให้ต้องเสียเวลาในการดึงกลับหรือบางครั้งหมอก็ไม่สามารถแก้ไขให้ กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ดีเท่ากับการมาตามนัดหมายได้
– เครื่องมือหลุดบ่อย
Bracket หรือเครื่องมือที่ติดอยู่ที่ฟัน มีหน้าที่รับแรงจากลวดและยางไปสู่ตัวฟัน ถ้าเครื่องมือหลุดฟันจะไม่เคลื่อนที่ ไปในทิศทางของแรงที่หมอจัดฟันเป็นคนดึงหรือเคลื่อนที่ไปในทางอื่น เครื่องมือจัดฟันหลุด 1 ครั้ง จะทำให้ต้องเพิ่มการ รักษาขึ้น 2 เดือน หรือ 2 ครั้ง เพราะหลังจากที่ติดเครื่องมือแล้วต้องรอเวลาให้กาวแข็งตัวเต็มที่ ซึ่งหมอจัดฟันอาจจะยังไม่ สามารถให้แรงที่ฟัน หรือให้แรงฟันน้อยกว่าปกติในทันทีที่ติดเครื่องมือ
Bracket หรือเครื่องมือที่ติดอยู่ที่ตัวฟันนั้น หลังจัดฟันเสร็จเราจะต้องรื้อออก ดังนั้นแรงที่ยึดฟันจะต้องเพียงพอที่จะทนต่อแรงดึงของยางได้ และไม่แน่นเกินจนทำให้รื้อไม่ออก หรือรื้อเครื่องมือแล้วเนื้อฟันดีๆของเราต้องเสียหายไปด้วย ดังนั้นเราจะต้องระมัดระวังแรงที่มากเกินไปที่จะทำให้เครื่องมือของเราหลุด โดยหลีกเลี่ยง อาหารแข็ง เหนียว กรอบ เช่น กระดูกหมู ของทอดกรอบๆ ผักหรือผลไม้แข็งๆ ถ้าอยากทานควรจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆก่อน และไม่ใช้ฟันฉีกอาหาร
คนไข้บางคนฟันเตี้ยหรือกัดฟันลึกทำให้หลังจากติดเครื่องมือแล้วฟันกัดชนเครื่องมือ หมอจัดฟันอาจจะแก้ไขโดยใส่ เครื่องมือยกขากรรไกร ซึ่งจะทำให้คนไข้เคี้ยวอาหารไม่ถนัด หรือไม่ละเอียดในช่วงแรก โดยปกติจะใช้เวลาในการปรับตัว ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็จะรู้สึกคุ้นเคยกับเครื่องมือยกขากรรไกร (รูปเครื่องมือยกขากรรไกร)
หนังยางดึงฟันหรือ elastic จะช่วยให้ฟันเลื่อนเข้าที่ได้รวดเร็ว ทันตแพทย์จะแนะนำวิธีใส่หนังยาง ทิศทางและตำแหน่งของหนังยางและระยะเวลาการใส่ ว่าใส่ตลอดเวลาหรือใส่เฉพาะบางเวลา ที่สำคัญก็คือ ควรเปลี่ยนหนังยางทุก 12-24 ชั่วโมง เพราะยางจะล้า หมดแรงดึงและควรใส่หนังยางคืนทันทีหลังรับประทานอาหารและหลังทำความสะอาดฟัน ถ้าใส่เป็นเวลานานอาจรู้สึกเจ็บๆหรือฟันโยกเล็กน้อย แต่ไม่ต้องกังวล เพราะถือเป็นอาการปกติ
จำไว้ว่า….การใส่หนังยางไม่สม่ำเสมอจะทำให้ฟันเลื่อนไปแล้วเลื่อนกลับ และถ้าตะขอที่เกี่ยวหนังยางบิดหรือหักให้ติดต่อทันตแพทย์ทันที
– การดูแลสุขภาพช่องปากทั่วไป
คนไข้จัดฟันจะมีเครื่องมือจัดฟันอยู่ในปาก ทำให้การแปรงฟันและการทำความสะอาดต้องละเอียดและพิถีพิถันมากกว่าคนทั่วไป ควรแปรงฟัน ใช้แปรงซอกฟันและไหมขัดฟัน ทุกครั้งหลังทานอาหาร การดูแลสุขภาพช่องปากไม่ดีจะทำให้ฟันผุ เหงือกอักเสบ เหงือกกร่น ฟันด่าง หลายๆครั้งต้องมีการถอดเครื่องมือออกเพื่อทำการรักษา ทำให้ใช้เวลาในการจัดฟันนานขึ้น
1.3) ความซับซ้อนในการรักษาของแต่ละบุคคล
การจัดฟันที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน ร่างกายไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาจะใช้เวลาในการรักษานานกว่าปกติ ซึ่งเคสเหล่านี้แม้คนไข้จะให้ความร่วมมือ มาปรับเครื่องมือสม่ำเสมอก็อาจจะยังใช้เวลาในการรักษามากกว่า 4-5 ปี ยิ่งถ้าไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการรักษาอีก การรักษาก็จะไม่สำเร็จ หรือการหยุดการรักษาอาจจะเป็นทางออกทีดีที่สุด
ตัวอย่าง เคสจัดฟันที่ยุ่งยากซับซ้อน ได้แก่
จัดฟันร่วมกับการผ่าตัด เคสที่แนะนำว่าควรจัดฟันร่วมกับการผ่าตัด แต่ขอให้จัดฟันโดยไม่ผ่าตัดเท่าที่พอจะทำได้ ดึงฟันคุดฝังในกระดูก ดึงฟันหลังมาปิดช่องด้านหน้า
2.) ทันตแพทย์ผู้ให้การรักษา
หมอแต่ละคนมีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ไม่เท่ากัน การวางแผนการรักษาการเลือกเครื่องมือแต่ละชิ้นตลอดจนเทคนิกในการรักษาส่วนบุคคล ล้วนแต่มีผลต่อความสำเร็จและระยะเวลาในการจัดฟัน ปัจจุบันเราสามารถตรวจสอบรายชื่อทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟันได้ ที่นี่
นอกจากนี้การพูดคุยกับเพื่อนหรือคนรู้จักที่มีประสบการณ์ทางการจัดฟัน ตลอดจนการดูผลงานที่ผ่านมาของหมอแต่ละคน จะทำให้เรามีความมั่นใจยิ่งขึ้นในการเลือกสถานที่ในการจัดฟัน
3.) ตัวช่วยอื่นๆที่ช่วยให้ฟันเคลื่อนได้เร็วขึ้น
ปัจจุบันได้มีการพยายามศึกษาวิจัย วิธีการต่างๆ ที่ช่วยให้ฟันเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องฉายแสง (Laser LED) เครื่องกระตุ้นการเคลื่อนฟันโดยการสั่น และการกรอกระดูกเพื่อช่วยการเคลื่อนฟัน ในส่วนของเครื่องฉายแสง และกระตุ้นการเคลื่อนฟันโดยการสั่นนั้น คนไข้จะต้องใส่เครื่องมือประมาณ 20 นาที ถึง 2 ชม. ต่อวัน อัตราการเคลื่อนฟันเร็วขึ้นประมาณ 0-30% ซึ่งก็แล้วแต่การตอบสนองของร่างกายของแต่ละคน นอกจากนี้ในปัจจุบันราคาของเครื่องมือยังอาจจะสูงกว่าราคาจัดฟันแบบโลหะปกติ
การกรอกระดูกเพื่อช่วยการเคลื่อนฟัน (Corticotomy) การกรอกระดูกเพื่อช่วยการเคลื่อนฟันนั้นทำขึ้นเพื่อลดความหนาแน่นของกระดูกรอบรากฟัน ช่วงที่มีการอักเสบ การหายของแผล และสร้างกระดูกใหม่ ฟันจะมีการเคลื่อนที่อย่าง รวดเร็วในเวลาประมาณ 3 เดือนหลังจากการกรอกระดูก จากนั้นความเร็วของการเคลื่อนฟันจะกลับมาสู่ระดับปกติ ในช่วงระยะเวลา 3 เดือน หลังจากกรอกระดูกนั้น ส่วนใหญ่คุณหมอจะนัดคนไข้บ่อยกว่าปกติจากเดือนละ 1 ครั้ง เป็นทุกๆ 2 สัปดาห์ เพื่อปรับแรง ข้อดีในการกรอกระดูกเพื่อช่วยการเคลื่อนฟันคือ เห็นผลชัดเจนเมื่อเทียบกับ 2 วิธีแรก ส่วนข้อเสีย คือ คนไข้อาจจะเจ็บแผลบ้างในช่วงแรก ในบางรายที่กระดูกบางอาจจะต้องมีการเติมกระดูกร่วมด้วย ระยะเวลาที่ฟัน เคลื่อนที่เร็วจำกัดอยู่ที่ประมาณ 3 เดือน หากต้องการให้ฟันเคลื่อนที่เร็วอีกก็จะต้องทำซ้ำ การกรอกระดูกเพื่อช่วยเคลื่อน ฟันนั้นส่วนใหญ่จะแนะนำให้ทำในคนไข้ที่การจัดฟันที่มีความยุ่งยากซับซ้อน เช่น ดึงฟันคุดในกระดูก ดึงฟันหลังมาปิดช่องฟันหน้า เป็นต้น
การจัดฟันจะใช้เวลานานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับเราว่าเข้ามารับการรักษาที่อายุเท่าไหร่ ให้ความร่วมมือในการรักษาดีมั้ย เลือกรักษากับหมอจัดฟันที่มีความรู้และประสบการณ์หรือไม่ ถ้าเรามีความเข้าใจเลือกเวลาและการรักษาที่เหมาะสม ผลการจัดฟันจะออกมาดี มีรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติ การสบฟันเป็นปกติและใช้เวลาในการรักษาไม่นาน