เขตภูมิอากาศของทวีปยุโรป สามารถแบ่งเป็น 7 เขตดังนี้
1. เขตภูมิอากาศแบบทุนดรา : หรืออากาศแบบขั้วโลก เป็นเขตอากาศที่หนาวเย็นจัดตลอดทั้งปี ส่วนฤดูร้อนสั้นประมาณ 1-2 เดือน อุณหภูมิเฉลี่ยของเขตนี้ เฉลี่ยทั้งปีไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส พืชพรรณธรรมชาติได้แก่ มอสส์ ตะไคร่น้ำ เขตอากาศทุนดราของทวีปยุโรป ได้แก่ บริเวณคาบสมุทรสแกนดิเนเวียและบริเวณทางเหนือสุดของประเทศรัสเซีย
2. เขตอากาศแบบกึ่งขั้วโลกหรือไทกา : ลักษณะอากาศในเขตนี้ คือ เป็นเขตที่มีอากาศหนาวจัดในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 6 องศาเซลเซียส ฤดูร้อนมีระยะเวลายาวกว่าเขตภูมิอากาศแบบทุนดรา ปริมาณน้ำฝนทั้งปีอยู่ระหว่าง 500-1,000 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติ คือ ป่าสนหรือป่าไทกา บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ คือ นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์
3. เขตอากาศอบอุ่นชื้นภาคพื้นทวีป : ลักษณะอากาศของเขตนี้ คือ ฤดูหนาวมีอากาศหนาวเย็น เพราะอยู่ลึกเข้าไปในใจกลางทวีป จึงไม่ค่อยได้รับอิทธิพลจากมหาสมุทร พืชพรรณธรรมชาติได้แก่ ป่าไม้ผลัดใบและไม่ผลัดใบผสมกัน ส่วนบริเวณที่มีฝนตกน้อย พืชพรรณธรรมชาติจะเป็นทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ คือ ดินแดนของประเทศโปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก สโลวาเกีย เอสโตเนีย และลัตเวีย
4. เขตภูมิอากาศแบบภาคพื้นสมุทรชายฝั่งตะวันตก : ลักษณะของอากาศในเขตนี้ คือ ฤดูร้อนอากาศเย็นสบาย ฤดูหนาวอากาศไม่หนาวจัด เพราะเขตนี้มีที่ตั้งอยู่ใกล้มหาสมุทร จึงได้รับอิทธิพลจากมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้เขตนี้มีอากาศอบอุ่น ชุ่มชื้น ฝนตกสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยของทั้งปีอยู่ที่ 750-1,500 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าไม้เขตอบอุ่นชนิดป่าไม้ผลัดใบผสมกับป่าสน บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ ครอบคลุมบริเวณของประเทศฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก เยอรมนี สหราชอาณาจักร และทางตอนใต้ของนอร์เวย์และสวีเดน
5. เขตภูมิอากาศอบอุ่นชื้น : ลักษณะอากาศของเขตนี้ คือ อากาศอบอุ่น ฤดูร้อนอากาศร้อน มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 500-1,000 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้เขตอบอุ่นหรือทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ ได้แก่ บริเวณคาบสมุทรบอลข่าน ออสเตรีย และฮังการี
6. เขตภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน : ลักษณะอากาศในเขตนี้ คือ เป็นเขตที่มีแสงแดดตลอดทั้งปี ฤดูร้อนอากาศร้อนและแห้งแล้ง ฤดูหนาวจะมีฝนตก ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 500-1,000 มิลลิเมตรต่อปี พืชพรรรณธรรมชาติเป็นเขตอบอุ่น เรียกว่า ป่าไม้เมดิเตอร์เรเนียน เช่น คอร์กโอ๊ก ส้ม มะนาว องุ่น มีป่าไม้มีหนามแหลม เรียกว่า ป่ามากี (maquis) บริเวณที่มีลักษณะอากาศแบบนี้ คือ บริเวณที่มีอาณาเขตติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้แก่ ภาคใต้ของประเทศฝรั่งเศส อิตาลี สเปน โปรตุเกส เซอร์เบีย และกรีซ
7. เขตภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย : ลักษณะสำคัญของอากาศในเขตนี้ คือ เป็นเขตที่มีปริมาณฝนน้อย ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีต่ำกว่า 500 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติเป็นทุ่งหญ้าขึ้นเบาบาง
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก iam-tour.com
มะกอกโอลีฟมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Olea europaea L. อยู่ในวงศ์ Oleaceae เป็นไม้ยืนต้นอายุยืนยาวหลายร้อยปี โดดเด่นด้วยลักษณะของลำต้นที่สวยงามมีสีเทาและขาวรูปทรงบิดเป็นเกลียวดูอ่อนช้อย กิ่งก้านที่เจริญเติบโตแบบแผ่ และลำต้นที่ไม่สูงมากนัก อยู่ที่ประมาณ 3-15 เมตร ทำให้ดูโดดเด่นแต่ไม่บดบังทิวทัศน์อื่นๆ
ใบมีสีเขียวเงินตลอดทั้งปี ออกดอกสีขาวบริเวณซอกใบ ก่อนกลายเป็นผลขนาดเล็กที่มีทั้งพันธุ์สีเขียวและสีดำ ผลของต้นสามารถนำมารับประทานและผลิตน้ำมันที่มีคุณค่าทางโภชนาการหรือใช้ในทางการแพทย์ได้
สำหรับคนที่กำลังมองหาต้นไม้ปลูกประดับกลางแจ้ง ชนิดที่มีฟอร์มสวย ดูแลง่าย และเป็นไม้ที่ไม่ได้พบเห็นกันทั่วไป มะกอกโอลีฟ (Olea europaea L.) ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
มะกอกโอลีฟ เป็นพืชที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีลักษณภูมิประเทศร้อนและแห้ง ส่วนสำคัญของต้นคือผล ซึ่งนำมาทำน้ำมันมะกอก และลักษณะเด่นอีกอย่างก็คือ มีอายุยืนยาวมาก พบเห็นได้ตั้งแต่หลายร้อยปี จนถึงพันปี
ชาวกรีกถือว่ามะกอกเป็นสัญลักษณ์แทนอิสรภาพและความหวัง องค์การสหประชาชาติก็ใช้ช่อมะกอกเป็นสัญลักษณ์บนธง เพื่อสื่อถึงเสรีภาพและมิตรภาพ แล้วช่อมะกอกก็ยังใช้มอบแด่ผู้ที่มีชัยชนะ เช่น นักกีฬาที่ชนะการแข่งขันโอลิมปิกสมัยโบราณก็จะได้รับมงกุฎช่อมะกอก โดยรวมๆ แล้วมะกอกถือเป็นไม้มงคลในหลายประเทศ
มีลูกค้าเล่าให้ฟังว่า ในบางประเทศ มะกอกโอลีฟถือเป็นทรัพย์สินที่เอาไปใช้เป็นหลักฐานค้ำประกันกับธนาคารได้ด้วย
ตอนนี้เพิ่งจะมีการนำเข้ามะกอกโอลีฟจากอิตาลีและสเปนเข้ามาในไทยให้คนไทยได้ลองปลูกกัน ซึ่งก็มีขนาดที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ขนาดสูงแค่ 20 เซนติเมตร จนถึงสูงกว่า 2 เมตร ซึ่งมีอายุราว 360 ปี
มะกอกโอลีฟเป็นพืชที่เติบโตง่าย แม้ในดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์ ชอบน้ำน้อย ใบแข็ง ความเล็กเรียวของใบช่วยลดการสูญเสียน้ำ มะกอกจึงได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่อดทน แข็งแกร่ง
ถึงแม้ว่าจะเป็นต้นไม้จากต่างประเทศ แต่ก็เจริญเติบโตได้ดีกับอากาศในเมืองไทย คือแดดจัด ร้อน และไม่แฉะ แต่ด้วยฤดูกาลและอุณหภูมิของไทย ถึงแม้ว่าต้นมะกอกจะเจริญเติบโตได้ดี แต่ก็อาจจะไม่ออกผลเหมือนที่ปลูกในยุโรป
หลักในการเลือกมะกอกมาปลูกประดับ ต้องเริ่มต้นจากเลือกขนาดที่เหมาะสม เพราะมะกอกโอลีฟเป็นพืชที่โตช้ามาก ใช้เวลา 40 ปี ลำต้นถึงมีขนาดเท่าแขน แต่ก็มีข้อดีตรงที่แม้ว่าลำต้นจะไม่ใหญ่ แต่ก็ยังมีทรงพุ่มที่ใหญ่และสวย ดังนั้นต้องเลือกขนาดที่เหมาะสมกับความต้องการ
มะกอกโอลีฟที่มีขนาดใหญ่ที่สูง 2 เมตร เหมาะกับการปลูกในบ้านที่มีสนามกว้างๆ ส่วนต้นที่มีขนาดเล็กลงมาก็เหมาะจะปลูกในตำแหน่งหน้าประตู ปลูกเดี่ยวหรือเป็นคู่ก็ได้ เป็นต้นไม้ที่สวยโดยตัวของมันเอง ไม่ต้องพึ่งองค์ประกอบอื่นมาช่วยทำให้สวย เรียกว่า ปลูกต้นเดียวก็อยู่เลย
มะกอกโอลีฟชอบแดดจัด ปลูกได้ทั้งในกระถางและลงดิน ถ้าอยากให้โตเร็วที่สุด ควรปลูกลงดินแบบโดนแดดร้อยเปอร์เซ็นต์ โดนแดดครึ่งวันก็พอได้ แต่ถ้าโดนแดดน้อย การแตกใบและการเจริญเติบโตก็จะน้อยตามไปด้วย
เรื่องของน้ำ มะกอกโอลีฟไม่ชอบน้ำแฉะ และทนแล้งได้ดี ไม่น้ำรดเป็นสัปดาห์ก็อยู่ได้ แต่ถ้าปลูกในที่ที่ไม่โดนแดดจัด ต้องลดปริมาณการให้น้ำลงด้วย
นอกจากปลูกประดับแล้ว ใบของต้นมะกอกก็นำมาทำชาได้ ทั้งชาใบมะกอกล้วน และนำไปเบลนด์กับพืชอื่นๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติ เช่น เบลนด์กับกุหลาบ
มะกอกโอลีฟ เป็นต้นไม้ที่เติบโตได้ดีในประเทศที่มีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน เช่น ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส กรีซ และอิตาลี ซึ่งจะมีแสงแดดตลอดทั้งปี
ในฤดูร้อนจะค่อนข้างแห้งแล้งและมีฝนตกในฤดูหนาว โดยภาพรวมแล้วก็คล้ายกับประเทศไทย เพียงแต่อุณหภูมิเฉลี่ยจะน้อยกว่าคือประมาณ 23 องศาเซลเซียส และมีความชื้นน้อยกว่า
ต้นมีลักษณะเป็นไม้เนื้อแข็ง เปลือกหนา และใบเล็กเป็นมันเพื่อลดการคายน้ำในฤดูร้อน บางชนิดจะมีระบบรากยาวไม่สัมพันธ์กับขนาดต้นที่ไม่ใหญ่มากนัก เพื่อสามารถนำเอาน้ำใต้ดินมาเลี้ยงลำต้นและดำรงชีวิตในฤดูร้อนที่ยาวนานได้
ถ้าใครสนใจก็ลองหามะกอกมาปลูกประดับบ้านกัน