ค่าฝากครรภ์ ค่าใช้จ่ายของแม่ ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่คนแล้ว แน่นอนว่าต้องเสียสละกันทั้งกำลังกาย กำลังใจ รวมไปถึงกำลังทรัพย์ เพราะเมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตที่เพิ่มขึ้นมา แน่นอนว่าเราจะต้องให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด โดยค่าใช้จ่ายของแม่นั้นเริ่มกันตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตในท้องเลยทีเดียว ค่าใช้จ่ายของแม่! กว่าลูกจะคลอด คุณแม่ตั้งครรภ์มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
ค่าฝากครรภ์ ค่าใช้จ่ายของแม่! กว่าลูกจะคลอด คุณแม่ตั้งครรภ์มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
อ่านเพิ่มเติม : ยังเรียนไม่จบ ทำประกันสะสมทรัพย์ ได้หรือไม่
ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ กรณีไม่ใช้สิทธิจากประกันสังคม
เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ทุกคนต้องไปหาคุณหมอและฝากครรภ์โดยเร็วที่สุด หากใครวางแผนเก็บเงินเพื่อมีลูกล่วงหน้าก็หายห่วงหน่อย แต่ใครที่ไม่ได้วางแผนไว้เลยอาจจะต้องรีบเก็บเงินกันตัวเป็นเกลียว สำหรับค่าฝากครรภ์นั้นมีเรตราคาแตกต่างกันไป อย่างที่ทราบกันดีว่าโรงพยาบาลรัฐนั้นถูกกว่า แต่ไม่สะดวกสบายเพราะต้องตื่นแต่เช้าไปรอคิว ส่วนเอกชนนั้นราคาก็สูงขึ้นตามความสะดวกสบายเช่นกัน รวมถึงคลินิคพิเศษด้วย นอกจากนี้บางคนอาจมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าปกติ เพราะมีปัจจัยเรื่องสุขภาพหรือภาวะแทรกซ้อนที่ต้องได้รับการตรวจมากเป็นพิเศษ
เมื่อคุณแม่ฝากครรภ์ คุณหมอจะนัดตรวจครรภ์โดยเฉลี่ยประมาณ 9-12 ครั้ง (บางคนอาจมากหรือน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับสุขภาพของแม่และลูก) ซึ่งแต่ละครั้งมีค่าตรวจของแพทย์ ค่ายาบำรุง ค่าอัลตร้าซาวด์ ค่าวัคซีน ค่าตรวจเลือด เจาะน้ำคร่ำ ตรวจพิเศษอื่นๆ เป็นต้น เพื่อให้เห็นภาพ ลองมาดูตัวอย่างกันค่ะ
โรงพยาบาลรัฐ
- ค่าฝากครรภ์ครั้งแรก (รวมค่าตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ค่าแพทย์ ฯลฯ) ประมาณ 1,500 บาท
- ค่าตรวจครรภ์ ครั้งละประมาณ 80-300 บาท
- ค่ายาตลอดการตั้งครรภ์ ประมาณ 1,000 บาท
- ค่าอัลตร้าซาวด์ ครั้งละประมาณ 500 บาท
- ค่าวัคซีน ประมาณ 200 บาท
- หมายเหตุ ราคาข้างต้นเป็นราคาโดยประมาณเท่านั้น และยังไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ กรณีที่คุณแม่มีภาวะเสี่ยงต่างๆ
โรงพยาบาลเอกชน
- ส่วนมากจะเป็นแพ็คเกจเหมาจ่าย โดยครอบคลุมการตรวจทั้งหมด และแบ่งชำระเป็นงวด ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโรงพยาบาล บางแห่งรวมการฝากครรภ์ไว้กับแพ็คเกจคลอดด้วยก็มี ส่วนค่าใช้จ่ายนั้นเริ่มต้นที่ 10,000-30,000 บาท
- หมายเหตุ ราคาข้างต้นเป็นราคาโดยประมาณเท่านั้น และยังไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ กรณีที่คุณแม่มีภาวะเสี่ยงต่างๆ
การคลอด กรณีไม่ใช้สิทธิจากประกันสังคม
สำหรับค่าคลอด ราคาแตกต่างกันไปตามลักษณะโรงพยาบาล ซึ่งแน่นอนว่าโรงพยาบาลรัฐราคาย่อมถูกกว่าเอกชน รวมไปถึงรูปแบบการคลอดด้วย หากคลอดธรรมชาติจะราคาก็จะถูกกว่าการผ่าตัดคลอด เพราะการผ่าคลอดมีขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่า อีกทั้งคุณแม่ต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่า ค่าใช้จ่ายจึงเพิ่มเป็นเงาตามตัว
สำหรับโรงพยาบาลรัฐค่าคลอดประมาณ 5,000-10,000 บาท กรณีคลอดธรรมชาติ หากผ่าคลอดราคาจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 -25,000 บาท ราคานี้รวมค่าห้องแล้ว โดยราคาห้องมีตั้งแต่ 500-3,000 บาท สำหรับจำนวนวันที่นอนโรงพยาบาล หากคลอดธรรมชาติจะนอนโรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน หากผ่าคลอดประมาณ 4-5 วัน
ส่วนโรงพยาบาลเอกชน กรณีคลอดธรรมชาติ ราคาประมาณ 30,000-50,000 บาท กรณีผ่าตัดคลอด ราคาประมาณ 60,000-100,000 บาท (ส่วนมากจะรวมค่าห้องแล้วในแพ็คเกจ) หากคลอดธรรมชาติจะนอนโรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน หากผ่าคลอดประมาณ 4-5 วันเช่นกัน
นี่เป็นเพียงค่าใช้จ่ายของแม่ หลักๆ เท่านั้น ยังไม่รวมค่าใชจ่ายจิปาถะอื่นๆ เช่น ค่าอาหารเสริม ค่าของใช้ของลูกที่ต้องเตรียมไว้ก่อนคลอด และอื่นๆ อีก การที่เราเตรียมพร้อมและวางแผนกก่อนการมีบุตรเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะหลังจากนี้จะต้องใช้เงินอีกมากจนกว่าพวกเขาจะเติบโต
ค่าคลอดบุตรกรณีใช้สิทธิจากประกันสังคม
เริ่มจากการฝากครรภ์ ตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม เรื่องหลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนกรณีการฝากครรภ์ตามเกณฑ์คุณภาพ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ประกันสังคมจะจ่ายค่าฝากครรภ์ให้คุณแม่โดยปรับเพิ่มค่าฝากครรภ์ 5 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,500 บาท (จากเดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท) ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
- หากอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาท
- หากอายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
- หากอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
- หากอายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 32 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท
- หากอายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ ถึง 40 สัปดาห์ขึ้นไป จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท
เอกสารสำหรับเบิกค่าฝากครรภ์ มีดังนี้
- แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน กองทุนประกันสังคม สปส. 2-01(สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของประกันสังคม)
- ใบเสร็จจากสถานพยาบาลที่เข้ารับการฝากครรภ์
- ใบรับรองแพทย์ หรือสามารถใช้สมุดบันทึกสุขภาพประจำตัวแม่และเด็ก ที่มีชื่อแม่ผู้ตั้งครรภ์และรายละเอียดการบันทึกตามแต่ละช่วงอายุครรภ์แทนได้
- กรณีที่คุณพ่อเป็นคนมาเบิกให้นำสำเนาทะเบียนสมรส หรือ หนังสือรับรองผู้ประกันตนกรณีไม่มีทะเบียนสมรสมาด้วย (สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของประกันสังคม) และหากแม่มาเบิกหลังคุณพ่อ ควรใส่เลขประจำตัวประชาชนของคุณพ่อเพื่อป้องกันการรับสิทธิ์ซ้ำ
ค่าคลอดบุตรประกันสังคมให้สิทธิ์อะไรบ้าง
สำหรับรับสิทธิประโยชน์และหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์ - ค่าคลอดบุตรประกันสังคม จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- การเบิกสิทธิประกันสังคม กรณีคลอดบุตร คุณแม่ที่มีสิทธิ์ในการเบิก จะต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 เดือน และภายใน 15 เดือน ก่อนการคลอดบุตร โดยประกันสังคมจะจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายในกรณีคลอดบุตร ในอัตรา 15,000 บาท
- คุณแม่มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร โดยจะเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เฉลี่ย เป็นระยะเวลา 90 วัน ในกรณีใช้สิทธิบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรนี้
- กรณีที่คุณแม่ และคุณพ่อ เป็นผู้ประกันตนประกันสังคมทั้งคู่ ให้ใช้สิทธิการเบิกคลอดบุตร ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยไม่จำกัดจำนวนบุตร และจำนวนครั้ง
เอกสารประกอบการยื่นคำขอประโยชน์ทดแทนการคลอดบุตร
- เอกสารแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน สปส. 2-01 (สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของประกันสังคม) กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน พร้อมลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอ
- สำเนาสูติบัตรบุตร 1 ชุด (กรณีคลอดบุตรแฝดให้แนบสำเนาสูติบัตรของคู่แฝดมาด้วย)
- แนบทะเบียนสมรสในกรณีที่คุณพ่อ เป็นคนขอเบิกสิทธิ กรณีคลอดบุตร หากไม่ไดจดทะเบียนสมรส ให้แนบหนังสือรับรองของผู้ประกันตนมาแทน
- สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ หน้าแรก ซึ่งมีชื่อรับรองของผู้ยื่นคำขอ รายชื่อธนาคารที่สามารถยื่นได้ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทยธนชาติ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
โดยให้ท่านไปยื่นเอกสารทั้งหมดได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร หรือสำนักงานประกันสังคมสังหวัด และสาขา ที่สะดวก ยกเว้นสำนักงานใหญ่บริเวณกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับการพิจารณาสั่งจ่าย จะสั่งจ่ายเป็นเงินสด หรือโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้ขอรับประโยชน์ทดแทน ในกรณีที่ผู้มีสิทธิมาขอรับด้วยตัวเอง หรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับแทน จะจ่ายโดยการใช้เช็ค นอกจากนี้ผู้ขอรับประโยชน์ทดแทน สามารถยื่นอุทรณ์ได้ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่แจ้งคำสั่ง ในกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับการสั่งจ่ายประโยชน์ทดทดแทน
ลาคลอดประกันสังคมให้สิทธิอะไรบ้าง
กฎหมายคุ้มครองแรงงาน ปี 2540 ได้ระบุว่า พนักงานหญิงสามารถลาคลอดได้สูงสุด 90 วัน แต่กฎหมายล่าสุดได้เพิ่มสิทธิ์ในการลาคลอดอีกเป็น 8 วัน รวมเป็น 98 วัน โดยจะนับวันลาคลอด และนับวันที่ลาเพื่อไปตรวจครรภ์ก่อนคลอดรวมอยู่ในสิทธิ์การลาคลอด 98 วันนี้ด้วยในส่วนของค่าจ้างนั้นผู้ลาคลอดจะได้รับค่าจ้าง โดยนายจ้างจ่าย 45 วัน ประกันสังคมจ่าย 45 วัน ส่วนอีก 8 วันที่เหลือไม่ได้มีการระบุว่าใครจะต้องเป็นคนจ่าย ดังนั้น นายจ้างและประกันสังคมมีสิทธิ์ที่จะไม่จ่ายค่าจ้างในอีก 8 วันที่เพิ่มมาโดยไม่มีความผิด อย่างไรก็ตาม จำนวนวันในการลาคลอด การลาคลอดล่วงหน้า การรับเงินชดเชยจากองค์กร หรือหลักเกณฑ์การจ่ายเงินสวัสดิการอื่น ๆ อาจขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท คุณแม่จำเป็นจะต้องสอบถามเพื่อให้ได้ข้อมูลส่วนนี้เพิ่มเติมกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลในองค์กร
ข้อกำหนดสิทธิการลาคลอดจากประกันสังคม
- หากจ่ายค่าประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนคลอดบุตร
- รับสิทธิการลาคลอดใช้ได้เฉพาะฝ่ายหญิงเท่านั้น ฝ่ายชายไม่สามารถเบิกใช้ได้
- จ่ายให้ไม่เกินฐานเงินเดือน 15,000 บาท หากเงินเดือนมากกว่ากำหนด จะคิดแค่ 15,000 บาท
- สิทธิได้รับค่าคลอดบุตรโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง
- ระยะเวลาจ่ายเงินให้ทั้งหมด 90 วัน หรือ 3 เดือน นับรวมวันหยุดราชการ
- หากกลับมาทำงานก่อนถึง 90 วัน คุณแม่ยังคงได้รับเงินสงเคราะห์ตามปกติ
รับสิทธิเงินอุดหนุนบุตร
สำหรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดที่จะเป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ปกครองที่มีบุตร ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี 600 บาท/เดือน
คุณสมบัติผู้ปกครองที่รับเงินและสิ่งที่ต้องที่มีตรวจสอบสิทธิ์
โดยจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ได้แก่
- เด็กต้องมีสัญชาติไทย พ่อแม่ต้องเด็กมีสัญชาติไทย
- เด็กต้องเกิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป จนมีอายุครบ 6 ปี
- เด็กต้องอาศัยอยู่กับผู้ปกครองที่อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อยเท่านั้น และไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน
คุณสมบัติผู้ปกครองที่รับเงิน(กรณีรับเด็กแรกเกิดไว้ในความอุปการะ) คือ มีสัญชาติไทย เป็นบุคคลที่รับเด็กแรกเกิดไว้ในความอุปการะและเด็กแรกเกิดต้องอาศัยรวมอยู่ด้วย ที่สำคัญคือ อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อย คือ สมาชิกครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปีเท่านั้น นอกจ่กนี้ผู้ที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร ตามกฎกระทรวงฯ ฉบับเดิม (ปี 61) จะยังคงได้รับสิทธิตามอัตราที่กำหนดใหม่ในกฎกระทรวงฉบับนี้ นับตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับ ธนาคารจะโอนเงินเข้าบัญชี ผู้มีสิทธิวันที่ 9 ธันวาคม 2564 เบิกจ่ายให้กับผู้มีสิทธิ ดังนี้
- ผู้มีสิทธิรับเงินอุดหนุน (รายเดิม)
- ผู้มีสิทธิรายใหม่ที่ผ่านการพิจารณา โดยมีข้อมูลสมบูรณ์ในระบบฐานข้อมูลของโครงการเงินอุดหนุนฯ ภายใน 25 สิงหาคม 2564
จ่ายตรงงวด จำนวน 600 บาทต่อเดือน จ่ายย้อนหลังให้ตามสิทธิของแต่ละบุคคล
1. บัตรประชาชนของแม่เด็กที่ยื่นขอรับสิทธิ์เงินอุดหนุน
2 เลขบัตรประจำตัวประชาชนเด็กที่ยื่นขอรับสิทธิ์เงินอุดหนุนฯ
เข้าไปที่เว็บไซต์ csgcheck.dcy.go.th จากนั้นกรอกหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ลงทะเบียน และของเด็กแรกเกิด
จากนั้นระบุเลขรหัสยืนยันรูปภาพ(ในตัวอย่างคือคำว่า potses ) แล้วกดปุ่ม "ค้นหาข้อมูล"
สำหรับผู้ลงทะเบียนรายใหม่ ที่มายื่นขอรับสิทธิ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 เป็นต้นไป สิทธิที่ได้รับจะเริ่มได้รับเงินในเดือนที่ยื่นขอรับสิทธิ ไม่ย้อนหลังให้ไปจนถึงเดือนที่เด็กเกิด
ในช่วงภาวะวิกฤตไวรัสโควิด-19แบบนี้ MoneyGuru ขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพและเป็นกำลังใจให้เราผ่านช่วงนี้ไปด้วยกัน ส่วนใครที่มองหาตัวช่วยเงินกู้สำหรับใช้ในการจับจ่ายใช้สอยที่ง่าย สะดวก และทำได้ที่บ้าน เรายังมีตัวช่วยสำหรับการ เปรียบเทียบสินเชื่อส่วนบุคคล หรือจะเป็นบัตรเครดิตอื่นๆ ให้เลือกใช้ เข้ามาเปรียบเทียบบัตรเครดิตได้ทุกวันที่ MoneyGuru นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อได้ทางช่องทาง LINE @MoneyGuruThailand รับรองว่าคุณจะได้คำแนะนำราคาเบี้ยประกันที่ดีที่สุดจากเรา
พิเศษสำหรับเดือนนี้ ท่านไหนที่ยังไม่มีบัตรกดเงินสด สามารถเข้ามาดูบัตรกดเงินสดที่เหมาะกับคุณได้ที่นี่ เพราะ MoneyGuru ได้รวบรวมผลิตภัณฑ์ทางการเงินไว้ให้พร้อมสรรพ นอกจากนี้ยังมีสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และประกันรถยนต์ดีๆ มาเปรียบเทียบเพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน
เนื่องจากในทุกวันนี้ การใช้รถใช้ถนนมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา ดังนั้นนอกจากผู้ใช้รถทุกคนต้องไม่ประมาทและควรระมัดระวังในการขับขี่แล้ว การทำประกันรถยนต์นั้นก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยให้ท่านเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถใช้ถนนมากขึ้น ดังนั้นสามารถเข้ามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์ได้ทาง www.moneyguru.co.th ต้องการที่จะช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนและลดภาระค่าใช้จ่ายจากการจ่ายเบี้ยประกันด้วยการ ลดราคาเบี้ย 5% พร้อมรับบัตรเติมน้ำมัน 500 บาท รับมือพิษเศรษฐกิจในเวลานี้ รวมถึงสามารถเข้ามาเปรียบเทียบสินเชื่อส่วนบุคคลกับทาง MoneyGuru ได้เลย
บทความแนะนำ
- เคล็ดลับ จัดการค่าใช้จ่าย แบบง่ายๆ
- ค่าใช้จ่ายแอพดูหนัง ดูซีรีส์ดัง แอพไหนราคาต่อเดือนเท่าไหร่ มาดูกัน
- ค่าใช้จ่ายที่มาพร้อมกับการซื้อรถยนต์
- ค่าใช้จ่ายวัยอนุบาล มีอะไรบ้าง