- บ้านธัมมะ
- กระดานสนทนา
- กระทู้สนทนาธรรม 2559
วิปัสสนาจารย์ หมายความว่าอย่างไร
แต้ม
วันที่ 3 ก.ค. 2559
หมายเลข 27951
อ่าน 9,993
ผมได้ยินได้ฟังเขาเรียก พระบางรูป ว่า พระวิปัสสนาจารย์ หรือ ฆราวาส บางท่าน ว่า ครูวิปัสสนาจารย์ หมายความว่าอย่างไรครับ
ความคิดเห็นที่ 1
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2559
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระวิปัสสนาจารย์ หรือ ครูวิปัสสนาจารย์ โดยมากที่เข้าใจกัน คือ บุคคลที่กล่าวสอนให้กรรมฐาน สอนวิปัสสนา แต่ ในสัจจะความจริงแล้ว พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว ที่เป็น อาจารย์ที่เลิศที่สุด เพราะการได้อ่าน ฟังพระธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยหนทางที่ถูกต้อง ย่อมเข้าใจถูกว่า ไม่มีใครสั่งให้ใครทำได้ เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จึงไม่ใช่มีใครจะมาบอกเราว่า เราได้ญาณนั้น ญาณนี้ โดยการสอบอารมณ์ เพราะหากเป็นสัจจะความจริงแล้ว ปัญญาของใครก็ของคนนั้น หากปัญญาเกิดขึ้นจริง ไม่ต้องถามใคร ไม่ต้องให้ใครมาบอก แต่ เมื่อให้ใครบอก ก็เป็นอันแสดงว่า ปัญญาของผู้นั้นไม่ได้เกิดจริงๆ จึงเป็นเรื่องของความเข้าใจผิดตั้งแต่ต้นที่มีครูวิปัสสนา เพราะ แม้แต่คำว่า วิปัสสนาก็ไม่เข้าใจจริงๆ คิดว่า วิปัสสนา ต้องไปเดินจงกรม ไปนั่งสมาธิ นั่นก็ผิดจากวิปัสสนาที่เป็นสัจจะ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว แต่ วิปัสสนา คือ ปัญญาที่รู้ความจริงในสภาพธรรมในขณะนี้ โดยไม่ต้องไปทำให้มีสติเกิดขึ้น ซึ่งขัดกับหลักอนัตตา แต่ หนทางที่ถูกคือ การฟัง ศึกษาพระธรรมในสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เมื่อปัญญาถึงพร้อม ปัญญาก็สามารถเกิดโดยความเป็นอนัตตา โดยไม่มีการบังคับไปทำ หรือ มีใครมาบอก ปัญญาก็เกิดรู้ความจริง ในขณะนี้ได้ครับ ขออนุโมทนา
ความคิดเห็นที่ 2
ปาริชาตะ
วันที่ 4 ก.ค. 2559
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ความคิดเห็นที่ 3
khampan.a
วันที่ 4 ก.ค. 2559
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นแล้ว แม้ว่าจะกล่าวว่าเป็น วิปัสสนา บ้าง เป็นอาจารย์ในทางวิปัสสนา บ้าง ก็คือ ผิดทั้งหมด เป็นเรื่องทำ เป็นเรื่องของความไม่รู้ เป็นเรื่องของความเห็นผิด ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เป็นโทษทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ตนเองมากไปด้วยความเห็นผิด แล้วยังทำให้ผู้อื่นเห็นผิดไปด้วย ทำให้ผู้อื่นออกจากคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุดคือศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดา ให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก มั่นคงในความจริง ตรงต่อความจริงคือ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งสามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ ก็จะไม่หวั่นไหวไปกับคำที่ไม่รู้จัก ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ความคิดเห็นที่ 4
แต้ม
วันที่ 4 ก.ค. 2559
ความคิดเห็นที่ 6
ประสาน
วันที่ 6 ก.ค. 2559
อนุโทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ความคิดเห็นที่ 7
ฐิติรัตน์
วันที่ 6 ก.ค. 2559
ความคิดเห็นที่ 8
tuijin
วันที่ 6 ก.ค. 2559
ความคิดเห็นที่ 9
ํํญาณินทร์
วันที่ 7 ก.ค. 2559
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ความคิดเห็นที่ 11
ศิลา
วันที่ 12 ธ.ค. 2559
กราบขอพระคุณ ขออนุโมทนาบุญ ขอรับ
ความคิดเห็นที่ 12
Chanakan
วันที่ 14 ส.ค. 2560
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ
1. หน้าที่และบทบาทของพระภิกษุในฐานะเป็นพระนักเทศน์ พระธรรมฑูต พระธรรมจาริก พระวิทยากร พระวิปัสสนาจารย์ และพระนักพัฒนา ทั้งพระภิกษุและสามเณร มีบทบาทและหน้าที่ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ดังนี้ 1.1 การศึกษาตามหลักไตรสิกขา คือ จะต้องศึกษาทั้ง 3 ด้าน (1) ศีล เป็นการศึกษาด้านพระวินัย (ศีล 227 ข้อ) ธรรมเนียม วัตรปฏิบัติ และมารยาทต่าง ๆ ของพระสงฆ์ เพื่อให้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและด้วยอาการสำรวมระวัง (2) สมาธิ เป็นการศึกษาด้านสมาธิ ฝึกเจริญวิปัสสนาเพื่อให้จิตสงบ (3) ปัญญา เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาด้านปัญญา โดยใช้ปัญญาคิดพิจารณาให้เข้าใจถึงสัจธรรมหรือความจริงของชีวิต รวมทั้งเป็ฯเครื่องมือดับทุกข์หรือแก้ไขปัญหาชีวิตต่าง ๆ 1.2 เป็นพระนักเทศน์ ได้แก่ พระภิกษุที่ปฏิบัติหน้าที่สอนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป โดยการแสดงธรรม (เทศน์) และจะต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นพระนักเทศน์ตามหลักสูตรของมหาเถรสมาคมแต่งตั้ง มี 2 ประเภท คือ (1) พระนักเทศน์แม่แบบ หมายถึง พระนักเทศน์ที่ผ่านการอบรมจากคณะกรรมการฝึกอบรมพระนักเทศน์ที่มหาเถรสมาคมแต่งตั้ง เพื่อไปจัดอบรมพระนักเทศน์ประจำจังหวัด (2) พระนักเทศน์ประจำจังหวัด หมายถึง พระนักเทศน์ที่ผ่านการอบรมปฏิบัติหน้าที่เทศน์ภายในจังหวัดที่สังกัดหรือสถานที่ที่ทายกอาราธนา นอกจากนั้น พระภิกษุทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถ ก็สามารถเป็นพระนักเทศน์ได้ โดยให้การสอนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และ ต้องมีความรู้ทางด้านธรรมเป็นอย่างดียิ่ง 1.3 เป็นพระธรรมฑูต เป็นพระภิกษุที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธสาสนาทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เผยแผ่พระพุทธศาสนา ในนามคณะสงฆ์ ถ้าเผยแผ่เอง เรียกว่าธรรมกถึก หรือพระนักเทศน์ 1.4 เป็นพระธรรมจาริก ได้แก่ พระภิกษุที่ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ชาวเขา โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะสงฆ์ และกรมประชาสงเคราะห์ โดยการปฏิบัติงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเขาเผ่าต่างๆ รวม 6 เผ่า ได้แก่ ม้ง เย้า มูเซอ ลีซอ อีก้อ และกระเหรี่ยง ณ สถานที่ต่างๆ ในภาคเหนือ 1.5 เป็นพระวิทยากร ได้แก่ พระภิกษุผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา อบรมให้ความรู้ด้านคุณธรรมจริยธรรมแก่หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป และเป็นผู้นำในการพัฒนาชุมชน ตลอดจนถึงการจัดอบรมต่างๆ ตามที่คณะสงฆ์มอบหมาย หรือหน่วยงานนั้นๆ ขอความอนุเคราะห์ นอกจากนั้น พระวิทยากร ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการอบรมมาแล้วเป็นอย่างดี มีทักษะความคล่องตัวในการสอนตามเนื้อหาวิชาเฉพาะที่ได้รับมอบหมาย มีการเตรียมการล่วงหน้า มีสุขภาพดีทั้งกายและจิตใจ มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีบุคลิกลักษณะดี และเหมาะสมเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี มีความสุภาพอ่อนโยน และมีศรัทธาในเรื่องการอบรมอย่างแท้จริง มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบดีไม่หลีกเลี่ยง และตรงต่อเวลา 1.6 เป็นพระวิปัสสนาจารย์ ได้แก่ พระภิกษุผู้ทำการสอนการปฏิบัติกรรมฐานตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งต้องมีคุณสมบัติ กล่าวคือ ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับการอบรมโดยผู้บังคับบัญชาระดับจังหวัด และผ่านการอบรมหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์จากกรมการศาสนา นอกจากนั้น พระภิกษุที่มีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็อาจเผยแผ่การปฏิบัติกรรมฐานได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา 1.7 พระนักพัฒนา ได้แก่ พระสงฆ์ที่ทำงานสงเคราะห์ชุมชนด้วยการให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือชาวบ้านด้วยกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ความเป็นอยู่ของชาวบ้านดีขึ้น เช่น การจัดตั้งศูนย์เด็กในวัด การอบรมเยาวชน การทำโครงการฝึกอาชีพ ธนาคารข้าว หรือการส่งเสริมการแพทย์พื้นบ้าน ให้คำแนะนำด้านสุขอนามัย รวมทั้งการส่งเสริมชาวบ้านในเรื่องเกษตรผสมผสาน หรือเกษตรกรรมเพื่อการพึ่งตนเอง ซึ่งการทำงานดังกล่าวนี้เกิดจากความคิดริเริ่มของท่านเอง มิใช่เพราะการชักนำของหน่วยงานรัฐหรือเพื่อสนองนโยบายรัฐ พระสงฆ์เหล่านี้ได้ทำให้สังคมไทยได้ตระหนักว่า พระนั้นไม่ได้มีบทบาทเฉพาะพิธีกรรมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ท่านยังมีบทบาทที่สำคัญในพัฒนาชุมชนและสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีอีกด้วย