อยุธยา เป็นอาณาจักรที่มีความได้เปรียบทางสภาพภูมิศาสตร์ คือ ตั้งอยู่ที่บริเวณริมแม่น้ำ 3 สาย มาบรรจบกัน คือแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ทำให้อยุธยามีสภาพเป็นเกาะมีแม่น้ำล้อมรอบป้องกันศัตรู มีกำแพงรอบเกาะยาวประมาณ 12 กิโลเมตร ปัจจุบันกำแพงนี้ถูกทำลายลงราบกลายเป็นถนนรอบเกาะ อยุธยาเป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่ทำการเพาะปลูกข้าว และยังอยู่ใกล้ทะเลพอสมควร ทำให้สามารถทำการค้าต่างประเทศได้โดยสะดวก ดังนั้นอยุธยาจึงมีลักษณะผสมผสานของการเป็นอาณาจักรในแผ่นดิน (ควบคุมการเกษตร) และอาณาจักรทางทะเล (ควบคุมการค้าทางทะเล)
ดินแดนที่กลายมาเป็นที่ตั้งของอาณาจักรอยุธยานั้น เป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่ง นักวิชาการถือกันว่าอยู่ในกลุ่มของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเก่าซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3.5 เมตร โดยที่ตอนล่างสุดต่อกับดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำใหม่ คือบริเวณที่อยู่ติดทะเล ดังนั้น ดินแดนนี้ก็เป็นที่ราบกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งถูกขนาบด้วยที่ราบสูงโคราชทางด้านตะวันออก และ ทิวเขาตะนาวศรีทางตะวันตก และมีภูเขาสูงทางภาคเหนือ
ในอีกด้านหนึ่งแม้ว่าอยุธยาตั้งอยู่ห่างจากทะเลประมาณ 90 กิโลเมตร ทางตอนบนของอ่าวไทย ซึ่งทำให้ดูประหนึ่งว่าอยุธยานั้นห่างไกลจากเส้นทางเดินเรือของนานาชาติ แต่จากหลักฐานคำให้การของชาวกรุงเก่า ปรากฏว่าการค้าทางทะเลของราชสำนักอยุธยานั้น ทำรายได้ประมาณปีละ 400,000 บาท (สี่แสนบาท) หรือเทียบเท่ากัน 25 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนเงินรายได้ 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาท) เมื่อพุทธศตวรรษที่ 23
นอกจากนี้ เดอ ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสที่มาถึงประเทศสยามเมื่อ ปี พ.ศ. 2230 ได้กล่าวไว้ว่าพระเจ้าแผ่นดินสยามทรงเป็น “พ่อค้าใหญ่” ด้วย ดังนั้นการค้าขายทางทะเลทำให้ราชสำนักมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่หรูหราได้กล่าวว่าอยุธยานอกจากจะเป็นเมืองหลวงแล้ว ก็ยังเป็นเมืองท่าอีกด้วย
ท่าเรือพาณิชย์ของอยุธยามีลักษณะเป็นท่าเรือนานาชาติ คือ เป็นศูนย์กลางในการรวมผลิตภัณฑ์ ซึ่งตามปกติจะกระจายกันอยู่ตามแหล่งต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนที่ลึกเข้าไปในแผ่นดินทางภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก การที่กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ตรงบริเวณที่แม่น้ำทั้งสามสายมาบรรจบกัน กล่าวคือ แม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลโค้งมาทางตะวันตกแล้ววกอ้อมเกาะเมืองมาจนถึงด้านตะวันออกเฉียงใต้นั้น เป็นแม่น้ำที่เรารู้จักกันดีว่าเป็นแม่น้ำสายใหญ่และเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญของไทยมาเป็นเวลานาน ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากภาคเหนือจะล่องผ่านแม่น้ำสายนี้มาถึงราชธานี
ด้วยเหตุนี้ อยุธยาจึงเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญ นำสินค้าและของป่าจากดินแดนทางตอนเหนือ และดินแดนด้านตะวันออก(เฉียงเหนือ) นำมารวมไว้เพื่อส่งเป็นสินค้าออกด้วยระบบของ “พระคลังสินค้า” ซึ่งเมื่อผนวกกับความอุดมสมบูรณ์ของน้ำและดินแล้ว อยุธยาจึงกลายเป็นอาณาจักรโบราณที่มีความมั่งคั่งมากที่สุดแห่งหนึ่งในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออุษาคเนย์ทั้งยังมีอำนาจทางการเมืองและการทหารอีกด้วยในสมัยตอนปลายของอยุธยาน่าเชื่อว่าประชากรของเมืองหลวงน่าจะมีไม่เกิน 190,000 (หนึ่งแสนเก้าหมื่นคน) และประชากรทั้งสยามประเทศน่าจะมีไม่เกิน 2,000,000 (สองล้านคน) เท่านั้นเองซึ่งก็เป็นลักษณะปกติธรรมดาของประเทศและอาณาจักรทั่วไปในดินแดนแถบนี้ที่มีจำนวนประชากรต่ำหากจะเปรียบเทียบกับพื้นที่อันกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์
มีบันทึกของชาวต่างชาติที่เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาว่า อยุธยามีกำแพงและป้อมปราการที่มั่นคงแข็งแรงยาวกว่า 12 กิโลเมตร ป้อมปืนตั้งอยู่ในตำแหน่งสำคัญ 22 ป้อม ประตูทั้งหมด 99 ประตูนั้น เป็นประตูบกถึง 18 ประตู ช่องกุด 61 ช่อง และประตูน้ำ 20 ประตู ถนนและคลองตัดขึ้นไปตามแนวตะวันออก-ตะวันตกและแนวเหนือ-ใต้ เป็นเครือข่ายการคมนาคมในเมือง ผ่านพระบรมมหาราชวัง ย่านการค้า สถานที่ราชการ ที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ต่างตั้งอยู่อย่างเป็นระบบและสัดส่วน มีตลาดบกเรียงรายอยู่สองฟากถนนในกำแพงเมืองกว่า 40 แห่ง และนอกเมืองกว่า 30 แห่ง และเนื่องจากเป็นเมืองท่าค้าขายนานาชาติจึงมีตลาดน้ำขนาดใหญ่อยู่ถึง 4 แห่ง และตลาดน้ำขนาดย่อยอีกมากมายทั้งสองฝั่งของแม่น้ำลำคลองซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนสลับกับวัดวาอารามอย่างต่อเนื่อง ถัดออกไปคือผืนนากว้างใหญ่
ส่วนพื้นที่นอกเมืองทางทิศใต้เป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ มีคลังสินค้า และเรือสินค้าของชาติต่างๆจอดแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างหนาแน่น