จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
|
Systema urinarium |
D014551 |
A08.0.00.000 |
3357 |
7159 |
อภิธานศัพท์กายวิภาคศาสตร์ [แก้ไขบนวิกิสนเทศ] |
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ หรือ ระบบทางเดินปัสสาวะ ประกอบด้วยไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ หน้าที่ของระบบขับถ่ายปัสสาวะ คือ กำจัดของเสียออกจากร่างกาย ควบคุมความดันเลือดและปริมาตรเลือดในกาย ควบคุมระดับอิเล็กโทรไลต์และเมแทบอไลต์ และควบคุมค่าความเป็นกรดเบสของเลือด ทางเดินปัสสาวะเป็นระบบระบายน้ำของร่างกายโดยการขับปัสสาวะออกในท้ายที่สุด[1] ที่ไตมีปริมาณเลือดไหลเข้าจำนวนมากโดยผ่านหลอดเลือดแดงไต และออกจากไตโดยผ่านหลอดเลือดดำไต ไตแต่ละข้างประกอบด้วยหน่วยการทำงานขนาดเล็ก เรียกว่า หน่วยไต เลือดจะถูกกรองและผ่านกระบวนการต่าง ๆ ทำให้ได้ของเสียในรูปของปัสสาวะและออกจากไตทางท่อไต ซึ่งเป็นท่อที่ประกอบด้วยเส้นใยกล้ามเนื้อเรียบที่ดันให้ปัสสาวะไหลสู่กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นที่เก็บปัสสาวะและขับออกนอกร่างกายโดยการถ่ายปัสสาวะ ระบบขับถ่ายปัสสาวะของเพศหญิงและเพศชายคล้ายกันมาก ต่างกันเพียงความยาวของท่อปัสสาวะ[2]
โดยปกติแล้วจะมีปัสสาวะที่ถูกขับออกมา 800 – 2,000 มิลลิลิตรต่อวันในมนุษย์สุขภาพดี ปริมาณนี้จะแตกต่างกันไปตามการได้รับของเหลวเข้าสู่ร่างกายและการทำงานของไต
โครงสร้าง[แก้]
แบบจำลองสามมิติของระบบขับถ่ายปัสสาวะ
- ไต (kidney) ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด ขับออกมาเป็นน้ำปัสสาวะไหลไปตามท่อเล็กๆในไต โดยไปรวมกันที่กรวยไต จากนั้นก็ไหลผ่านท่อไตลงสู่กระเพาะปัสสาวะ พร้อมที่จะขับออกมานอกร่างกายทางท่อปัสสาวะ
- ท่อไต (ureter) เป็นท่อที่ออกมาจากไตในแต่ละข้างไปสู่กระเพาะปัสสาวะ
- กระเพาะปัสสาวะ (bladder) สามารถบรรจุน้ำปัสสาวะได้ประมาณ 500–1,000 มิลลิลิตร
- ท่อปัสสาวะ (urethra) เป็นท่อเล็ก ๆ ที่ออกมาจากกระเพาะปัสสาวะเพื่อจะนำน้ำปัสสาวะออกไปนอกร่างกาย
จุลกายวิภาคศาสตร์[แก้]
ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ผนังด้านในของระบบขับถ่ายปัสสาวะจะถูกคลุมด้วยเนื้อเยื่อบุผิวชนิดแปรเปลี่ยน แตกต่างกับเนื้อเยื่อบุผิวที่บุอวัยวะส่วนใหญ่ในร่างกาย เนื้อเยื่อบุผิวชนิดแปรเปลี่ยนนี้มีลักษณะทั้งราบเรียบและโป่งขยายได้ โดยจะคลุมส่วนใหญ่ของระบบขับถ่ายปัสสาวะ รวมไปถึงกรวยไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "The Urinary Tract & How It Works | NIDDK". National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases.
- ↑ C. Dugdale, David (16 September 2011). "Female urinary tract". MedLine Plus Medical Encyclopedia.
อาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ และเข้าห้องน้ำหลายครั้ง อาจทำให้หลายคนชะล่าใจคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ความจริงแล้วอาจกำลังเผชิญอยู่กับภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder – OAB) ที่ส่งผลกระทบกับคุณภาพชีวิตได้ในระยะยาว ถ้าไม่รีบรักษาอย่างทันท่วงที
รู้จักกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน
ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder – OAB) เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ที่เกิดจากการรับรู้ของกระเพาะปัสสาวะที่เร็วกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวบ่อย ส่งผลให้มีอาการปัสสาวะบ่อยทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะดื่มน้ำในปริมาณมากหรือน้อยก็ตาม ทำให้เกิดความรำคาญ ขาดความมั่นใจ วิตกกังวล รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน โดยจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พบได้ตั้งแต่ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานช่วงอายุ 30 – 40 ปี และพบมากในผู้สูงวัยช่วงอายุตั้ง 50 ปีขึ้นไป
อาการบอกโรค
อาการที่อาจบ่งบอกว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ได้แก่
- ปัสสาวะบ่อย โดยปัสสาวะบ่อยมากขึ้นกว่าปกติที่เคย หรือไม่ต่ำกว่า 7 ครั้งตอนกลางวัน ไม่ต่ำกว่า 2 ครั้งตอนกลางคืน
- ปัสสาวะรีบ ปวดปัสสาวะมาก ไม่สามารถกลั้นได้ ต้องเข้าห้องน้ำทันที
ตรวจเช็กให้รู้ทัน
การตรวจเช็กภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินสามารถประเมินได้โดยแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งแพทย์จะทำการซักถามและให้ทำแบบประเมินโดยละเอียด ซึ่งจะพิจารณาจาก
- จำนวนครั้งและปริมาณที่ปัสสาวะใน 1 วัน ตั้งแต่หลังตื่นนอนตอนเช้าถึงก่อนนอนตอนกลางคืน
- จำนวนครั้งและปริมาณที่ตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืนนับตั้งแต่นอนหลับถึงตื่นนอนในตอนเช้า
- จำนวนครั้งที่ปวดปัสสาวะแล้วไม่สามารถกลั้นได้
- จำนวนครั้งที่ปัสสาวะเล็ดราดในขณะที่ปวดอย่างทันทีทันใดแล้วไม่สามารถกลั้นไว้ได้
นอกจากนี้จะมีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะไปตรวจการติดเชื้อ ตรวจปัสสาวะตกค้าง ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะขณะที่มีการเติมน้ำเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ เพื่อวินิจฉัยแทรกโรคอื่น ซึ่งการส่งตรวจขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นสำคัญ
รักษากระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน
ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินจัดเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวทางการรักษาแพทย์จะพิจารณาโดยละเอียด มีหลายวิธี ได้แก่
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประกอบไปด้วย
- การจดบันทึกไดอารี่การขับถ่ายปัสสาวะ (Voiding Chart) ใส่รายละเอียดปริมาณน้ำดื่มในแต่ละครั้งและปริมาณน้ำปัสสาวะที่ออกมาแต่ละครั้ง โดยจดบันทึกทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
- ลดและงดดื่มน้ำ 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ช่วยป้องกันการตื่นมาปัสสาวะขณะหลับ
- งดเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ได้แก่ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ในกรณีที่มีการใช้ยารักษาโรคที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนการใช้ยาอย่างเหมาะสม
- ฝึกควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ (Time Voiding) ช่วยให้กลั้นปัสสาวะได้นานขึ้น ความถี่ในการเข้าห้องน้ำลดลง โดยจะใช้วิธีกำหนดเวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ เมื่อปวดปัสสาวะให้สนใจนอกห้องก่อน เมื่อความรู้สึกเริ่มหายไปให้ลองกักเวลาแล้วจดมาว่าปัสสาวะทุกกี่นาทีหรือกี่ชั่วโมงแล้วลองยืดเวลาปัสสาวะออกไป หากปัสสาวะไม่สุดให้นั่งรอในห้องน้ำแล้วปัสสาวะอีกครั้ง ซึ่งการฝึกขับถ่ายปัสสาวะจะต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เฉพาะทาง
การใช้ยารับประทาน
ยาที่ใช้รักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินจะมีผลในการลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยกลั้นปัสสาวะได้นานขึ้น ความถี่ในการปัสสาวะลดลง และเพิ่มความจุของกระเพาะปัสสาวะ โดยจะต้องมีการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางและต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่กันไป ปัจจุบันการใช้ยารับประทานได้รับความนิยมมากเพราะผลข้างเคียงน้อย
ฉีดยาโบทูลินัมท็อกซิน (Botulinum Toxin)
การฉีดยาโบทูลินัมท็อกซิน (Botulinum Toxin) เข้ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะผ่านการส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะจะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยดื้อยาหรือไม่ตอบสนองต่อยาที่รับประทาน ซึ่งวิธีนี้ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการฉีดซ้ำ รวมถึงอาจมีผลข้างเคียงคือ ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่ออกหรือออกไม่หมด จำเป็นจะต้องสวนปัสสาวะทิ้งด้วยตนเอง
กระตุ้นเส้นประสาทควบคุมระบบทางเดินปัสสาวะ
วิธีนี้จะใช้กระแสไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้นเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ โดยมีทั้งวิธีการรักษาแบบชั่วคราวและแบบถาวร จำเป็นต้องทำการรักษากับแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญเท่านั้น
ผ่าตัดเพื่อขยายกระเพาะปัสสาวะ
หากผู้ป่วยทำการรักษาทุกวิธีแล้วยังไม่เห็นผลอาจจำเป็นจะต้องผ่าตัดเพื่อขยายกระเพาะปัสสาวะเพื่อให้เก็บปริมาณปัสสาวะได้มากขึ้น วิธีนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ได้แก่ ปัสสาวะออกไม่แรง ปัสสาวะออกไม่หมด ปัสสาวะมีตะกอน เพิ่มโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ จึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางอย่างละเอียด
แม้ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินจะไม่ได้ส่งผลร้ายแรงกับร่างกาย แต่รบกวนการใช้ชีวิตและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน รวมถึงส่งผลกับสุขภาพได้ในระยะยาว ดังนั้นการหมั่นสังเกตตนเองแล้วรีบพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาทันทีและถูกวิธี ย่อมช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีไปอีกนาน