ให้นักศึกษาสรุป

การให้คำปรึกษานักศึกษา
(Counseling for Students)
ผศ. นพ. พนม เกตุมาน
สาขาวิชาจิตเวชเด็กและนักศึกษา ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
การให้คำปรึกษา คือ กระบวนการช่วยเหลือให้คิดและตัดสินใจแก้ไขปัญหาของตนเองได้ ด้วยการใช้เทคนิคต่าง ของการสร้างความสัมพันธ์ การสื่อสาร ความเข้าใจและมีความรู้สึกอยากช่วยเหลือ ขั้นตอนของการให้คำปรึกษา ประกอบด้วย การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การสำรวจปัญหา และเลือกเรื่องที่จะทำงานร่วมกัน การประคับประคองจิตใจให้อารมณ์สงบ การแก้ปัญหากระตุ้นให้มองหาทางเลือก ข้อดีข้อเสีย ชี้แนะ ช่องทาง ข้อมูล ประกอบการตัดสินใจ และการให้ตัดสินใจ การทดลองปฏิบัติ และติดตามผลด้วยตนเอง ก่อนจะยุติการช่วยเหลือ
การให้คำปรึกษานักศึกษา นอกจากจะมีความรู้และทักษะการให้คำปรึกษาแล้ว ควรมีความรู้ความเข้าใจนักศึกษา ได้แก่  พัฒนาการตามปกติของนักศึกษา ปัญหาพฤติกรรมที่พบบ่อยในนักศึกษา

ความหมายของการให้คำปรึกษา
กระบวนการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบปัญหา โดยอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้คำปรึกษา (counselor) และผู้รับการปรึกษา (counselee) ใช้เทคนิคการสื่อสาร ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ถึงสาเหตุของปัญหา ใช้ศักยภาพของ ตนเองในการคิด ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
ประเภทของการให้คำปรึกษา
1. Informative counseling ให้ข้อมูล
2. Directive counseling ชี้นำ
3. Advocacy counseling เสนอทางเลือก
4. Supportive counseling ประคับประคองจิตใจ อารมณ์ ให้สงบ

หลักการให้คำปรึกษา
การให้คำปรึกษา เป็นการช่วยเหลือรูปแบบหนึ่ง ที่อาศัยความสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับการปรึกษา เพื่อให้ผู้รับการปรึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง เข้าใจปัญหา ได้ความรู้และทางเลือกในการแก้ปัญหานั้นอย่างเพียงพอ มีสภาพอารมณ์และจิตใจที่พร้อมจะคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง
วัตถุประสงค์ของการให้คำปรึกษา จึงประกอบด้วยการช่วยให้นักศึกษา
1. เกิดแรงจูงใจที่จะให้ข้อมูล
2. เข้าใจและเห็นปัญหาของตนเอง
3. อยากแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาตนเอง
4. ดำเนินการแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาตนเอง

เทคนิคการให้คำปรึกษา
เทคนิคการให้คำปรึกษา สามารถนำมาใช้ตั้งแต่เริ่มการสัมภาษณ์นักศึกษา ขั้นตอน ดังนี้
1. เริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
2. สำรวจลงไปในปัญหา หรือสาเหตุที่ทำให้ต้องมาพบกัน
3. สรุปและเลือกประเด็นที่สำคัญร่วมกัน ที่จะทำงานร่วมกัน
4. ตั้งเป้าหมายในการทำงานต่อไปด้วยกัน คือการแก้ไขปัญหา
5. ดำเนินการ วางแผน แก้ไข ฝึกฝนทักษะต่างๆ ประเมิน ปรับปรุง
6. สรุปและยุติการให้คำปรึกษา

เทคนิคที่ใช้
เทคนิคการให้คำปรึกษา ตามลำดับขั้นมีดังนี้
1. การเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
• การจัดสิ่งแวดล้อม ห้องตรวจควรความมิดชิด เป็นสัดส่วน ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีคนเดินผ่านไปมา บรรยากาศมีความสงบและเป็นกันเอง
• ท่านั่ง ควรเป็นลักษณะตั้งฉากกัน ไม่ควรเผชิญหน้ากันตรงๆ เยื้องกันเล็กน้อย ใกล้กันพอที่จะแตะไหล่ได้
• ก่อนการเริ่มต้นสัมภาษณ์ ควรจัดลำดับการสัมภาษณ์ให้ดี (ถ้าพ่อแม่มาด้วย ควรพบนักศึกษาพร้อมพ่อแม่สั้นๆ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาเบื้องต้นก่อน หลังจากนั้นจึงขอสัมภาษณ์นักศึกษาตามลำพัง)
• เปิดการสนทนานำให้เกิดความผ่อนคลาย เป็นกันเอง (small talk)
“วันนี้มากันกี่คนครับ มาอย่างไร รถติดหรือไม่ นั่งรอนานหรือไม่ อากาศเป็นอย่างไร…ฯลฯ”
• แนะนำตัวเอง สถานที่ วัตถุประสงค์ของการคุยกัน เวลาที่จะคุยกัน
“ผมชื่อ…….. เป็นอาจารย์ทำงานที่นี่”
“ห้องนี้เป็นห้องสัมภาษณ์ มีผมและผู้ช่วยอีกหนึ่งคนเท่านั้น ห้องนี้มีกล้องโทรทัศน์วงจรปิด แต่ขณะนี้จะไม่ใช้ ถ้ามีการใช้เมื่อใดจะขออนุญาตทุกคนก่อนทุกครั้ง”
“ช่วงแรกนี้ ขอคุยด้วยกับทุกคนทั้งหมดสั้นๆก่อน หลังจากนั้นจะขอคุยส่วนตัวกับ……..(ชื่อ)ตอนหลัง”
“วันนี้มีใครมากันบ้าง อยากรู้จักทุกคน ขอให้ช่วยแนะนำตัวกันก่อน ดีไหมครับ”
• อาจารย์ควรแนะนำครอบครัวว่า บางช่วงจะขอสัมภาษณ์นักศึกษาตามลำพังด้วย ถ้ามีสิ่งที่ไม่กล้าเล่ากับพ่อแม่ จะได้มีโอกาสพูดได้อย่างสบายใจ และเป็นเรื่องปกติที่จะขอคุยตามลำพัง
“อาจารย์ขอคุยกับ….. ตามลำพังสักครู่ หลังจากนั้นจะขอคุยกับพ่อแม่ในตอนท้ายอีกที”
• การพบกับพ่อแม่ในช่วงสุดท้าย เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมด และอาจมีสิ่งที่พ่อแม่อยากเล่าให้ฟังเพิ่มเติมที่ไม่อยากเล่าต่อหน้านักศึกษา ช่วงสุดท้ายจะเป็นโอกาสที่สรุปผลที่ได้ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ และวางแผนการช่วยเหลือต่อไป ก่อนจบควรเปิดโอกาสให้พ่อแม่ซักถาม
• การใช้ภาษาพูด น้ำเสียง การเน้นคำ การใช้ สรรพนาม การทำความเข้าใจภาษาของนักศึกษา ควรใช้ภาษาที่เข้าใจกันง่าย เป็นกันเอง พยายามเข้าใจและยอมรับภาษานักศึกษา แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษานักศึกษา
• เรื่องที่ไม่อยากเล่าในช่วงแรก ควรข้ามไปก่อน แต่ทิ้งท้ายไว้ว่ามีความสำคัญที่น่าจะกลับมาคุยกันอีกในโอกาสต่อไป
“เรื่องนี้น่าสนใจมาก อาจมีส่วนสำคัญทีเดียว แต่….ยังไม่อยากเล่าในตอนนี้ ก็ไม่เป็นไร เอาไว้เมื่อพร้อมที่จะเล่าแล้วค่อยเล่าก็ได้ จะขอคุยเรื่องอื่นก่อน แล้วจะขอย้อนกลับมาคุยเรื่องนี้ตอนหลัง ดีไหม”
• การใช้ภาษากาย การสัมผัส สีหน้า แววตา ท่าทาง ให้เกิดความเป็นกันเอง อยากเข้าใจ อยากช่วยเหลือ ไม่ตัดสินความผิด หรือแสดงการไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมหรือสิ่งที่นักศึกษาเปิดเผย
2. การสำรวจลงไปในปัญหา หรือสาเหตุที่ทำให้ต้องมาพบ
การรักษาความลับ(confidentiality) ก่อนการสำรวจลงลึกในประเด็นปัญหา ควรสังเกตท่าที ความร่วมมือ การเปิดเผยข้อมูล ว่านักศึกษามีความไว้วางใจมากน้อยเพียงไร มีเรื่องใดที่ยังกังวล เช่น เรื่องการเก็บรักษาข้อมูล ควรให้ความมั่นใจเรื่องนี้
“เรื่องที่คุยกันนี้ คงไม่นำไปบอกพ่อแม่ หรือคนอื่นๆฟัง ถ้ามีเรื่องที่จะบอกพ่อแม่ จะขออนุญาตก่อน เรื่องที่จะบอกคงเป็นเรื่องที่ยินยอมแล้ว”
เทคนิคการถาม ในตอนต้นควรสอบถามถึงความเข้าใจถึงการมาพบอาจารย์ มาได้อย่างไร พ่อแม่บอกว่าอย่างไร คิดอย่างไรในตอนแรก
“เมื่อสักครู่พ่อแม่เล่ามา คิดอย่างไรบ้าง มีตอนไหนที่ไม่เห็นด้วย ไม่เป็นความจริงบ้างหรือไม่ มีอะไรที่จะเล่าเพิ่มเติมตรงไหนอีกบ้าง”
“ช่วยเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ปัญหาคืออะไร”

การใช้คำถาม
1 คำถามปลายเปิด (open-ended question) เป็นคำถามที่มีคำตอบได้หลากหลาย มักใช้ในการสอบถามเบื้องต้น ในระยะแรกๆของการสัมภาษณ์ ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“อยากให้อาจารย์ช่วยเรื่องอะไร”
“เรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ”
คำถามปลายเปิด มักจะได้คำตอบที่ตรงกับสิ่งที่นักศึกษาคิด กังวล เป็นห่วง หรือรู้สึกว่าเป็นปัญหาอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากปัญหาที่คิด อาจไม่ตรงกับปัญหาที่คนอื่นเป็นห่วงอยู่
2 คำถามปลายปิด (close-ended question) เป็นคำถามที่คาดหวังคำตอบว่า ใช่ หรือไม่ใช่ เท่านั้น ใช้ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบว่า มีหรือไม่มีสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์สงสัยอยู่ ไม่ควรใช้ในช่วงแรกๆของการสัมภาษณ์ เพราะอาจปิดกั้นการเปิดเผยปัญหาที่แท้จริง ตัวอย่างคำถามปลายปิด
“นอนหลับดีไหม”
“เบื่ออาหารหรือไม่”
“ท้อแท้ไหม”
คำถามปลายปิดมักใช้ในการสำรวจปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อตรวจสอบว่ามีหรือไม่มี มักใช้ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์
3 คำถามนำ (leading question) เป็นคำถามที่ส่งเสริมให้ตอบไปในทิศทางนั้น มักใช้ในกรณีที่นักศึกษาลังเลที่จะตอบ เช่น
“เพื่อนเคยชวนให้ลองใช้ยาเสพติดเหมือนกันใช่ไหม”
“ยาบ้านี่รสชาติเป็นอย่างไร ชอบไหม”

การกระตุ้นให้เล่าเรื่อง(facilitation)
“ทราบเบื้องต้นมาว่า.. คุณพ่อคุณแม่รู้สึกเป็นห่วงที่…..”
“ที่จริงคุณพ่อคุณแม่เล่าให้อาจารย์ฟังบ้างแล้ว แต่อยากฟังจาก…(ชื่อ) เอง ลองเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“พ่อแม่กังวลว่า…”
“พ่อแม่อยากจะทำความเข้าใจปัญหามากขึ้น จึงชวน……มาคุยกับอาจารย์”
“คิดอย่างไรบ้าง รู้สึกอย่างไร ยังโกรธพ่อแม่หรือไม่ เมื่อรู้เหตุผลอย่างนี้แล้ว”

การยอมรับ (unconditioned positive regard)
“เรื่องใดที่พูดลำบาก หรืออธิบายไม่ได้ ขอให้บอกด้วย”
“ใครๆที่อยู่ในสภาพเดียวกับ…… คงจะทำใจยอมรับได้ลำบากเหมือนกัน”
“บางทีมันก็ยากที่จะเล่า เรื่องที่ค่อนข้างส่วนตัวอย่างนี้ เอาไว้พร้อมแล้วค่อยเล่าก็ได้”
“เรื่องไหนที่ยังไม่พร้อมจะคุย ขอให้บอก”

การสำรวจลงลึก (exploration)
“มีอะไรที่ทำให้รู้สึกหนักใจ กังวลใจ หงุดหงิดใจ”
“ถ้าเป็นไปได้ อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในบ้าน”
“อยากให้พ่อแม่เป็นอย่างไร”
“ปัญหาอื่นๆในบ้านละ มีอะไรหนักใจหรือไม่”(ลองสำรวจในเรื่องอื่นๆ ในตอนท้าย เช่นเรื่องความสัมพันธ์ของพ่อแม่ ความสัมพันธ์กับน้อง หรือญาติคนอื่นๆ)
“วางแผนไว้อย่างไรบ้าง ระยะสั้น ระยะยาว”

การสะท้อนความรู้สึก (reflection of feeling)
“…รู้สึกไม่พอใจที่อาจารย์ดุ”
“…โกรธที่ถูกทำโทษ”
“…..อึดอัดใจที่ถามถึงเรื่องนี้”
“….กังวลใจจนนอนไม่หลับ”
การสะท้อนความรู้สึกจะช่วยให้เกิดความรู้สึกว่าเข้าใจความรู้สึก เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การสะท้อนความรู้สึกช่วยในการตอบคำถาม หรือตอบสนองบางสถานการณ์ได้ เช่น
นักศึกษา(พูดอย่างโกรธๆว่า) “อาจารย์ไม่เข้าใจผมหรอก”
อาจารย์(ใช้เทคนิคการสะท้อนความรู้สึก ) “คุณคงรู้สึกหมดหวัง คิดว่าไม่มีใครเข้าใจปัญหานี้”

การสะท้อนความคิด ความเห็น ความเชื่อ (reflection of thinking, attitudes, believes)
บางครั้งการสะท้อนความคิดนักศึกษา จะช่วยให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกันกับอาจารย์ และช่วยให้นักศึกษาหยุดคิดถึงสิ่งที่ตนเองคิด และในหลายโอกาสช่วยให้นักศึกษาเห็นความสัมพันธ์ของความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของตนเองได้ ตัวอย่างเช่น
“….คิดว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ”
“…คิดว่าถ้าขออนุญาตก่อน พ่อคงปฏิเสธ”
บางจังหวะ การสะท้อนความคิดก็ช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ เช่น
(พูดอย่างโกรธๆว่า) “ลองมาเป็นผมบ้างสิ อาจารย์จะทำอย่างไร”
อาจารย์(ใช้เทคนิคการสะท้อนความคิด) “…คงคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับใคร ก็คงยากที่จะตัดสินใจ”

การถามความคิดและความรู้สึก (exploring the feeling and thinking) นอกจากเทคนิคการสะท้อนความคิดความรู้สึกข้างต้นแล้ว บางครั้งการสอบถามความคิด ความรู้สึก จะช่วยให้เข้าใจนักศึกษามากขึ้น และสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันได้มาก เช่น
“คุณแม่ทำแบบนั้น …… คิดอย่างไรบ้าง”
“โดนเหตุการณ์แบบนั้น … รู้สึกอย่างไร”

แสดงทัศนคติที่ดีต่อนักศึกษา (rapport, nonjudgmental attitude) ควรมีความเข้าใจ(understanding) ยอมรับ, (unconditional positive regard) มองในแง่ดีเป็นกลาง (neutral) อยากช่วยเหลือ (empathy) เห็นใจ (sympathy)
“ความสนใจเรื่องเพศในนักศึกษา ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ……มีความสนใจเรื่องนี้บ้างไหม”
“เพื่อนบางคนอาจมียาเสพติดมาชักชวนกัน …….เคยเห็นบ้างไหม เคยลองบ้างไหม”

แสดงสิ่งที่ทีมอาจารย์จะช่วยเหลือได้ (hope) เช่น สร้างความเข้าใจกัน วิธีการบางอย่างพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจ ทำไม่ถูก มีการจัดการไม่ดี เรื่องบางอย่างที่อาจารย์ช่วยได้ทันที เช่นการให้ความรู้พ่อแม่ การฝึกทักษะต่างๆ เมื่อช่วยแล้วจะเกิดผลดีอย่างไร ถ้าไม่ช่วยจะเกิดผล(เสีย)ตามมาอย่างไร

การให้นักศึกษาได้ระบายความรู้สึก(ventilation)
“บางทีการร้องไห้ หรือได้ระบายความทุกข์ใจไม่สบายใจก็ช่วยให้ใจสบายขึ้น”
“อาจารย์อยากให้…..เล่าเรื่องที่อาจไม่สบายใจ แต่อาจทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์ดีขึ้น”

สรุปความ(summarization)
“ปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่ง คือแม่ไม่ค่อยเข้าใจความต้องการของ…..”
“หลายครั้งที่……..ก็ทำอะไรด้วยอารมณ์ แต่ก็มาคิดเสียใจทีหลัง”
แปลความหมาย(interpretation)
“เวลาโกรธพ่อแม่ ก็แกล้งให้พ่อแม่หงุดหงิด”

การชมเชย(positive reinforcing)
“อาจารย์คิดว่าเป็นการดีมาก ที่…อยากจะเข้าใจตัวเอง ….อยากแก้ไขเปลี่ยนแปลง”
“ดีนะที่…มีความสนใจเรื่องการเรียน”

การสำรวจปัญหาอย่างเป็นระบบ(system review)
รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจากอาการต่างๆ และปัญหาที่ได้จากนักศึกษาและครอบครัว ข้อมูลของครอบครัว การเลี้ยงดูตั้งแต่เกิด พัฒนาการ การเรียน ความสัมพันธ์กับครอบครัวและกับโรงเรียน ปัจจัยสาเหตุ ปัจจัยกระตุ้นและส่งเสริมให้เป็นปัญหา หรือปัจจัยป้องกัน ข้อดีและจุดเด่นจุดแข็งของนักศึกษา

3.สรุปและเลือกประเด็นที่สำคัญร่วมกัน ที่จะทำงานต่อไป
การเลือกประเด็นที่สำคัญ และนักศึกษายอมรับเพื่อทำงานร่วมกัน ควรเป็นเรื่องต่อไปนี้
• เรื่องที่นักศึกษารู้สึกว่าเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือ เช่น อาการทางร่างกายจากความเครียด อาการย้ำคิดย้ำทำ อารมณ์ซึมเศร้า ความไม่เข้าใจของพ่อแม่ การถูกจำกัดสิทธิต่างๆ
• เรื่องที่นักศึกษาอยากให้เปลี่ยนแปลง เช่นความสัมพันธ์ภายในบ้านที่ไม่ค่อยดี การยินยอมให้ในสิ่งที่นักศึกษาต้องการ เช่น เวลาไปกับเพื่อน เงิน โทรศัพท์
การเลือกเรื่องมีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เข้าถึงปัญหาที่แท้จริง การเลือกควรให้นักศึกษามีส่วนร่วม เช่น
“เราจะตั้งเป้าหมายเรื่องใดก่อนดี”
“เรื่องเวลาเครียด แล้วอาการปวดหัว น่าสนใจเหมือนกัน ไม่ทราบว่า….คิดอย่าง”
“เรื่องความไม่เข้าใจกันในบ้าน มีความสำคัญต่อ……จนอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงไหม”
“…..คงอยากให้ผลการเรียนดีขึ้นกว่านี้”
“ปัญหาการเรียนน่าจะเป็นผลของอารมณ์ คิดอยากจะแก้ไขอย่างไร”
“ลองช่วยกันเลือกเรื่องที่น่าจะแก้ไขกันได้ก่อน”
“เคยคิดจะแก้ไขอย่างไรแล้วบ้าง”
“สรุปแล้วคิดว่าเราน่าจะมุ่งประเด็นนี้….. ก่อนจะดีไหม”
หลักการในการตั้งประเด็นที่น่าจะเป็นเป้าหมาย ควรให้สอดคล้องกับความต้องการของนักศึกษา อาจารย์อาจช่วยโน้มน้าวให้นักศึกษามองเห็นปัญหาที่แท้จริง และมีทิศทางที่ถูกต้อง

4.ตั้งเป้าหมายในการทำงานต่อไปด้วยกัน
เมื่อผู้สัมภาษณ์ได้ข้อมูลเพียงพอแล้ว ต่อไปคือการแก้ไขปัญหา โดยวิธีการ เป้าหมายร่วมกับนักศึกษา ควรช่วยกันคิดและให้ออกมาเป็นความต้องการของนักศึกษาจริงๆ และควรจะครอบคลุมประเด็นหลักๆของปัญหา
การแก้ไขต่อไปจะเกิดในด้านต่างๆ คือ
• การเปลี่ยนแปลงของตนเอง เช่น การสังเกตอารมณ์ตนเองให้มากขึ้น มีการจัดการกับอารมณ์ได้ดี ควบคุมตัวเองได้ ยั้งใจตัวเองได้มากขึ้น จัดระเบียบวินัยของตัวเอง เอาใจใส่เรื่องส่วนตัวมากขึ้น รับผิดชอบส่วนรวมมากขึ้น
• สร้างแรงจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
“อาจารย์คิดว่า ถ้า….แสดงความรับผิดชอบโดย……. คุณพ่อคุณแม่ คงจะไว้วางใจมากขึ้น การจะขออนุญาตไปกับเพื่อนน่าจะง่ายขึ้นด้วย”
• ให้ความหวังและโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
“อาจารย์จะช่วยอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจความต้องการของนักศึกษามากขึ้น แต่…ก็ต้องช่วยอาจารย์ทำให้พ่อแม่ไว้ใจ เช่น การรักษาคำพูด ถ้าเราพยายามแล้วพ่อแม่ยังไม่เปลี่ยนแปลง ขอให้กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟังด้วย”
• อธิบายสิ่งที่จะวางแผนร่วมกับพ่อแม่(clarification)
“หลังจากนี้อาจารย์จะคุยกับพ่อแม่ สิ่งที่อาจารย์จะพูดคือ อธิบายให้ท่านเข้าใจว่า……………….. และจะช่วยให้ท่านยืดหยุ่นกับ……บ้างเช่น อาจจะอนุญาตให้ไปกับเพื่อนได้ในวันหยุด แต่จะขออนุญาต ต้องบอกกันก่อนในเรื่องรายละเอียด เช่น ไปที่ไหน กับใคร เวลาใด จะกลับเมื่อไร อย่างนี้จะดีไหม ฯลฯ”
“อาจารย์ยังไม่แน่ใจว่าจะพูดให้พ่อแม่เปลี่ยนแปลงได้มากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่คุยกับเขาแล้ว ก็เห็นว่าน่าจะรับฟังอาจารย์บ้าง แต่นิสัยใจคอคนตามปกตินั้น จะเปลี่ยนแปลงทันทีคงยาก แต่ก็น่าทดลองดู ให้โอกาสท่านเปลี่ยนแปลงก่อน ถ้าไม่สำเร็จเราจะกลับมาคุยกันใหม่”

5.ปฏิบัติ (Working through)
เป็นกระบวนการแก้ไขเปลี่ยนแปลง คิด ตัดสินใจ ฝึกฝนตนเอง เพื่อให้แก้ไขปัญหา สร้างสิ่งใหม่ มักจะเกิดขึ้นในระยะเวลาต่อมา ที่เริ่มมีความสัมพันธ์ดีต่อกันแล้ว ผู้ให้คำปรึกษาจะใช้เทคนิคต่างๆที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระยะยาว ขั้นตอนนี้มักใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ในการสัมภาษณ์นั้น เมื่ออาจารย์จะรวบรวมข้อมูลมากพอ จนสามารถวางแผนการช่วยเหลือต่อไปได้แล้ว ต่อไปก็จะพยายามโน้มน้าว ให้นักศึกษามีแรงจูงใจที่จะแก้ไขในขั้นตอนแรกนี้ และในการพบกันครั้งต่อไป การเริ่มการช่วยเหลือจะทำได้ง่าย
ในการสัมภาษณ์นักศึกษาครั้งแรก ไม่ควรพยายามแก้ไขเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้ได้ทันที การให้คำแนะนำที่เร็วเกินไป นอกจากจะไม่ได้ผล นักศึกษามักไม่เชื่อแล้ว อาจรบกวนความสัมพันธ์ที่เป็นเป้าหมายหลักของการสัมภาษณ์ในระยะแรก เนื่องจากนักศึกษาอาจจะรู้สึกว่า อาจารย์ทำตัวเหมือนพ่อแม่ หรืออาจารย์ของเขา อาจารย์ควรอธิบายให้นักศึกษาเข้าใจถึงปัญหา สาเหตุของปัญหา ขั้นตอนการช่วยเหลือต่อไป เช่น
“จากข้อมูลที่เล่ามาทั้งหมด อาจารย์คิดว่า อาการต่างๆเกิดจากอารมณ์ซึมเศร้า อาการนี้พบได้บ่อย และเป็นสาเหตุของปัญหาต่างๆ แต่สามารถรักษาได้ การช่วยเหลือต่อไปคือ…………………”
“ความคิดที่วนเวียนเช่นนี้ คืออาการของโรคย้ำคิดย้ำทำ อาจารย์คิดว่าน่าจะมีการตรวจเพิ่มเติม คือ….”
“ความไม่เข้าใจกันภายในบ้านมีมาก จนทำให้ทุกคนเกิดความเครียด ปัญหานี้น่าจะแก้ไขโดย…..”
“อาจารย์คิดว่า การตรวจทดสอบบางอย่างอาจจะช่วยให้เข้าใจสาเหตุของปัญหามากขึ้น จะแนะนำว่าน่าจะ..”
“อาจารย์ยังไม่ค่อยเข้าใจบางอย่างในบ้าน อยากจะขอพบคุณพ่อในการนัดครั้งต่อไป ..คิดอย่างไร”

6. การสรุปและยุติการสัมภาษณ์หรือการให้คำปรึกษา(Termination)
ในการสัมภาษณ์ทุกครั้ง การยุติการสนทนาในตอนท้ายการสัมภาษณ์ มีความสำคัญมากเช่นกัน ในการสรุปสิ่งที่ได้คุยกัน การวางแผนต่อไปว่าจะทำอะไร ตอบคำถามที่นักศึกษาอาจจะมี กำหนดการนัดหมายครั้งต่อไป การยุติการสัมภาษณ์ได้ดีจะช่วยให้นักศึกษาร่วมมือมาติดตามการให้คำปรึกษา และให้ร่วมมือในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือ ร่วมมือในการรักษาต่อไป
การสัมภาษณ์ครั้งแรกไม่จำเป็นต้องให้ได้ข้อมูลทุกอย่างครบ บางเรื่องที่นักศึกษายังไม่พร้อมจะเปิดเผย อาจต้องรอให้นักศึกษาเกิดความไว้วางใจ และเปิดเผยในครั้งที่สองหรือครั้งที่สามก็ได้
“คุยกันมานานแล้ว ไม่ทราบว่า ……อยากจะถามอะไรอาจารย์บ้าง”
“อาจารย์ดีใจที่….ให้ความร่วมมือดีมาก อาจารย์อยากจะพบเพื่อคุยกันอีกหลังจากนี้”
“หลังจากนี้แล้ว อาจารย์จะพบกับพ่อแม่สั้นๆ อธิบายให้ท่านเข้าใจ หลังจากนั้นจะนัดพบกันครั้งต่อไปในสัปดาห์หน้า”
ในกระบวนการให้คำปรึกษาระยะยาว การสิ้นสุดการให้คำปรึกษาควรมีการเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อให้นักศึกษาเตรียมใจยุติการพบปะกัน ซึ่งอาจเกิดความวิตกกังวลต่อการพลัดพราก และอาจเกิดอาการของความวิตกกังวลได้มาก ทำให้ยุติการให้คำปรึกษาได้ยาก เกิดภาวะติดผู้ให้คำปรึกษา

เทคนิคการสื่อสารที่ดี
1. หลีกเลี่ยงการใช้คำถามที่ขึ้นต้นว่า “ทำไม”
การใช้คำถามที่ขึ้นต้นว่า “ทำไม…..” เช่น “ทำไมเธอมาสาย” จะสื่อสารให้นักศึกษาเข้าใจได้ 2 แบบ คือ
• เธอทำไม่ดีเลย ทำไมจึงทำเช่นนั้น และ
• ถ้ามีเหตุผลดีๆ การกระทำเช่นนั้นก็อาจเป็นที่ยอมรับได้
ผลที่ตามมาคือ นักศึกษาจะพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตนเองมากขึ้น เพื่อพยายามยืนยันว่า ความคิดและการกระทำของเขาถูกต้อง เป็นการสอนให้เถียงแบบข้างๆคูๆ แล้วอาจารย์ก็จะโมโหเสียเอง ทั้งๆที่เป็นคนเริ่มต้นให้หาเหตุผล แต่เมื่อแสดงเหตุผล ก็ไม่ยอมรับเหตุผลของเขา
ถ้าต้องการทราบเหตุผลจริงๆของพฤติกรรมนักศึกษา ควรถามดังนี้
“อาจารย์อยากรู้จริงๆว่าอะไรทำให้เธอทำอย่างนั้น”
“พอจะบอกอาจารย์ได้ไหมว่า เธอคิดอย่างไรก่อนที่จะทำอย่างนั้น”
“เกิดอะไรขึ้น ทำให้เธอมาโรงเรียนสายในวันนี้”
“มันเกิดอะไรขึ้น ไหนลองเล่าให้อาจารย์เข้าใจหน่อย”
2. ตำหนิที่พฤติกรรม มากกว่า ตัวนักศึกษา
ถ้าอาจารย์จะตำหนินักศึกษา ต้องระวังการต่อต้านไม่ยอมรับ วิธีการที่ทำให้ยอมรับ และไม่เสียความรู้สึกเห็นด้านดีของตนเอง สามารถทำได้ด้วยการตำหนิที่พฤติกรรมนั้น ดีกว่าตำหนิที่ตัวเด็ก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“ การมาเรียนสาย เป็นสิ่งที่ไม่ดี” ดีกว่า “เธอนี่แย่มาก ขี้เกียจจังเลยถึงมาสาย”
“ การทำเช่นนั้น ไม่ฉลาดเลย” ดีกว่า “เธอนี่โง่มากนะ ที่ทำเช่นนั้น”
“อาจารย์ไม่ชอบที่เธอไม่ได้ช่วยงานกลุ่ม งานนี้ทุกคนต้องช่วยกัน “ ดีกว่า “เธอนี่เป็นคนเอาเปรียบเพื่อนนะ”
ไม่ควรใช้คำพูดทำนองว่า เป็นนิสัยไม่ดี หรือสันดานไม่ดี เพราะจะทำให้ต่อต้าน หรือแกล้งเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ควรลุกลามไปถึงพ่อแม่ เช่น “อย่างนี้พ่อแม่ไม่เคยสอน ใช่ไหม”
3. ฝึกใช้คำพูดที่ขึ้นต้น “ฉัน……” มากกว่า “เธอ………….” ( I-YOU Message) ได้แก่
“อาจารย์ไม่ชอบการมาสาย” ดีกว่า “เธอนี่แย่มากที่มาสาย”
“อาจารย์อยากให้มาเช้า”
“อาจารย์ไม่ชอบนักศึกษาไม่ตั้งใจฟัง”
“อาจารย์อยากให้หยุดฟัง เวลาอาจารย์พูด”
“อาจารย์เสียใจที่เธอทำเช่นนั้น”
“อาจารย์อยากให้เธอ…”
“อาจารย์จะดีใจมากที่….”
4. บอกความคิด ความรู้สึก ความต้องการ
ฝึกให้นักศึกษามีทักษะในการสื่อสาร ความกล้าพูด กล้าบอกสิ่งที่ตัวเองคิด รู้สึก และต้องการอย่างสุภาพ เข้าใจกัน ทั้งต่ออาจารย์ และต่อเพื่อนๆด้วยกันเอง ไม่ควรอาย หรือกลัวเพื่อนโกรธ บางคนกลัวเพื่อนไม่ยอมรับ เลยยอมตามเพื่อน ถูกเพื่อนเอาเปรียบ
อาจารย์ช่วยกระตุ้นเรื่องนี้ได้ ด้วยการฝึกรายบุคคล
“เธอคิดอย่างไร เรื่องนี้…………”
“เธอรู้สึกอย่างไร ลองบอกอาจารย์………..”
“เธอต้องการให้เป็นอย่างไร………..”
อาจารย์ควรรับฟังมากๆ ให้เขารู้สึกว่า การพูดบอกเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ และสามารถบอกกับเพื่อนๆได้ด้วย
5. ชมบนหลังคา ด่าที่ใต้ถุน
อาจารย์ควรมีเทคนิคในการชม ให้เกิดความภาคภูมิใจตนเอง ควรชมให้ผู้อื่นทราบด้วย หรือร่วมชื่นชมด้วย และเมื่อชมแล้ว อาจเสริมให้รู้สึกต่อไปว่า เขาคงจะพอใจที่ตัวเองเป็นคนดีด้วย ต่อไปจะชื่นชมตัวเองเป็น ไม่ต้องรอให้คนอื่นเห็นความดีของตน หรือรอให้คนอื่นชมเสมอไป ดังตัวอย่างนี้
“อาจารย์ดีใจมากที่เธอช่วยเหลือเพื่อน เธอคงรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ทำเช่นนั้น ใช่ไหม”
“พวกเราภูมิใจที่เธอได้รางวัลครั้งนี้ ช่วยกันตบเมือให้หน่อย เธอคงภูมิใจในตัวเองเหมือนกันใช่ไหมจ๊ะ”
แต่เวลาเตือน อย่าให้เกิดความอับอาย ให้ค่อยๆคิด และยอมรับด้วยตัวเอง อย่าให้เสียความรู้สึก ควรเตือนเป็นการส่วนตัว ก่อนจะเตือน ควรหาข้อดีของเขาบางอย่าง ชมตรงจุดนั้นก่อน แล้วค่อยเตือนตรงพฤติกรรมนั้น เช่น
“ อาจารย์รู้ว่าเธอเป็นคนฉลาด แต่การที่เธอเอาของเพื่อนไปโดยไม่บอกนี่ไม่ถูกต้อง”
“อาจารย์เห็นแล้วว่าเธอมีความตั้งใจมาก แต่งานนี้เป็นงานกลุ่มที่ต้องช่วยกันทำทุกคนนะจ๊ะ”
6. ถามความรู้สึก สะท้อนความรู้สึก เช่น
“หนูคงเสียใจ ที่อาจารย์ลงโทษ” (สะท้อนความรู้สึก)
“หนูรู้สึกอย่างไรบ้าง ที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน” (ถามความรู้สึก)
“เธอรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่อถูกเพื่อนแกล้ง” (ถามความรู้สึก)
“เธอคงโกรธที่ถูกเพื่อนแกล้ง” (สะท้อนความรู้สึก)
“เรื่องที่คุยกันนี้คงจะกระทบความรู้สึกของหนูมาก อาจารย์จะคุยกันต่อได้ไหม” (สะท้อนความรู้สึก)
7. ถามความคิดและสะท้อนความคิด เช่น
“เมื่อเธอโกรธ เธอคิดจะทำอย่างไรต่อไป” (ถามความคิด)
เมื่อนักศึกษาตอบว่า “ผมอยากกลับไปชกหน้ามัน” ควรพูดต่อไปว่า
“เธอโกรธมากจนคิดว่าน่าจะกลับไปชกหน้าเขา” (สะท้อนความคิด)
การถามและสะท้อนความรู้สึกและความคิด จะได้ประโยชน์มาก เพราะจะทำให้เขารู้สึกว่า เราเข้าใจ(ความคิด และความรู้สึก)ของเขา ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี เป็นพวกเดียวกัน และจะเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น ชักจูงได้ง่ายขึ้น
8. การกระตุ้นให้คิดด้วยตนเอง
ในการฝึกให้นักศึกษาคิดและแก้ปัญหานั้น ควรฝึกให้คิดเองก่อนเสมอ เมื่อคิดไม่ออก ไม่รอบคอบ ไม่กว้าง อาจารย์อาจช่วยชี้แนะให้ในตอนท้าย เช่น
“เธอคิดว่าปัญหาอยู่ที่ไหน” (ให้คิดสรุปหาสาเหตุของปัญหา)
“แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปดี” (ให้คิดหาทางออก)
“ทางออกแบบอื่นละ มีวิธีการอื่นหรือไม่” (ให้หาทางเลือกอื่นๆ ความเป็นไปได้อื่นๆ)
“ทำแบบนี้ แล้วคาดว่าผลจะเป็นอย่างไร” (ให้คิดถึงผลที่ตามมา)
“เป็นไปได้ไหม ถ้าจะทำแบบนี้….(แนะนำ)…เธอคิดอย่างไรบ้าง”

การให้คำปรึกษาครอบครัว (Family Counseling)
• สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว
• แสวงหาข้อมูลจากครอบครัว
• วิเคราะห์ครอบครัว ปัญหาของครอบครัว จุดอ่อน จุดแข็ง หน้าที่ของครอบครัว บทบาท การสื่อสาร การเข้าใจความรู้สึก
• ชักจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในโครงสร้าง และหน้าที่ของสมาชิกครอบครัว
• ชี้แนะช่องทางของการเปลี่ยนแปลง
• ฝึกทักษะที่เป็นปัญหา
• ใช้หลักพฤติกรรมบำบัด ร่วมด้วยเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

การให้คำปรึกษาเพื่อน (Peer Counseling)
• สร้างบรรยากาศของการอยู่ร่วมกันแบบกลุ่ม ไม่โดดเดี่ยว ไม่เอาตัวรอดคนเดียว เพื่อนมีหน้าที่ช่วยเหลือกัน
• สร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นห่วงเป็นใยกัน เมื่อมีใครหายไปเพื่อนควรสนใจ เป็นห่วงเป็นใย ติดตามข่าวสาร พยายามดึงเพื่อนเข้ากลุ่ม มีการแบ่งปันกัน ช่วยเหลือกัน
• เมื่อมีเพื่อนทำผิด เพื่อนที่ดีควรช่วยเตือน และชักจูงให้เปลี่ยนแปลง เลิกทำผิด กลับมาทำดี โดยไม่โกรธกัน มองกันในทางที่ดี
• ฝึกทักษะการสื่อสารที่ดี บอกความคิด ความต้องการ ความรู้สึก เมื่อไม่พอใจมีวิธีบอกให้เพื่อนเข้าใจ และสนองความต้องการกันได้ตรงจุด
• ฝึกทักษะสังคมทางบวก การให้ การรับ การขอโทษ การขอบคุณ การเข้าคิว รอคอย การทำดีต่อกัน การพูดดีๆ สุภาพ อ่อนโยน ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อกัน

เอกสารอ้างอิง
1. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข คู่มือดูแลสุขภาพจิตเด็กวัยเรียน โรงพิมพ์ ร.ส.พ. กรุงเทพฯ
2. พนม เกตุมาน สุขใจกับลูกวัยรุ่น บริษัทแปลน พับลิชชิ่ง จำกัด กรุงเทพฯ 2535 ISBN 974-7020-31-9
3. Angold A. Diagnostic interviews with parents and children. In: Rutter M,Taylor E, eds. Child and Adolescent Psychiatry.4th ed. Bath : Blackwell Science, 2002:32-51.
4. Geldard D. Basic personal counselling: a training manual for counsellors. 3rd ed. Sydney : Prentice Hall, 1998:39-168.
5. MacKinnon RA, Yudofsky SC. In: The psychiatric evaluation in clinical practice. Philadelphia : J.B.Lippincott Company,1986:35-84.

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน แปลภาษาอาหรับ-ไทย Terjemahan ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ศัพท์ทางทหาร military words แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 พจนานุกรมศัพท์ทหาร ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง ไทยแปลอังกฤษ ประโยค lmyour แปลภาษา การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 ประปาไม่ไหล วันนี้ ฝยก. ย่อมาจาก หยน ห่อหมกฮวก แปลว่า เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษาจีน ่้แปลภาษา onet ม3 การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 1 ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง ตตตตลก บบบย ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คาราโอเกะ เขียน อาหรับ แปลไทย เนื้อเพลง ห่อหมกฮวก แปลไทย asus zenfone 2e กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น การประปานครหลวง ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบภาษาอังกฤษ ม.ปลาย พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ชขภใ ชื่อเต็ม ร.9 คําอ่าน ตัวอย่าง flowchart ขั้นตอนการทํางาน นยน. ย่อมาจาก ทหาร บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ฝสธ. ย่อมาจาก มัดหัวใจเจ้าชายเย็นชา 2 ซับไทย มัดหัวใจเจ้าชายเย็นชา 2 เต็มเรื่อง ยศทหารบก เรียงลําดับ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 รัชกาลที่ 10 ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คอร์ด