คุณครูให้นักเรียนเตรียมซอง หรือ ฉลาก สินค้ามาทำกิจกรรม (ไม่ควรใช้ขนาดใหญ่เกินไป) จากนั้น
1.ให้นักเรียนนำซองสินค้ามาติดไว้ที่กึ่งกลางกระดาษ
2.ให้นักเรียนเขียนข้อมูลของปัจจัยการผลิตทั้งสี่ส่วน คือ
- ที่ดิน (ที่ตั้งของโรงงานผลิตสินค้านั้น)
- ทุน (วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตสินค้าชนิดนั้น)
- แรงงาน (ใครคือคนผลิตสินค้านั้น)
- ผู้ประกอบการ (เจ้าของสินค้าชนิดนั้น)
***โดยข้อมูลทั้งสี่ส่วนต้องเขียนมาในลักษณะ mind mapping
3.ให้นักเรียนตกแต่งให้สวยงาม
เพียงเท่านี้นักเรียนก็จะได้เรียนรู้เรื่องราวทางปัจจัยการผลิตผ่านสินค้าจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน
ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
เมื่อพูดถึงเศรษฐกิจ ย่อมหมายถึงการบริโภค การอยู่อาศัย หรือการกินการอยู่ของประชาชนว่าอยู่ดีกินดี มีสินค้าเพียงพอแก่ความต้องการของผู้บริโภค หมายถึงว่าเศรษฐกิจดี ตรงข้าม ถ้าการกินอยู่หรือสินค้าไม่เพียงพอกับความต้องการ ย่อมหมายถึงเศรษฐกิจไม่ดี ดังนั้น การผลิตจึงถือเป็นปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ต้องศึกษา แบ่งเป็น 3 ข้อ ดังนี้
• ผลิตอะไร (What to Produce) จำนวนเท่าใด เพื่อให้มีสินค้าเพียงพอและตรงตามความต้องการขอผู้บริโภค
และเมื่อใดผลิตสินค้าไม่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค หรือผลิตมากเกินไปย่อมทำให้เศรษฐกิจเสียหาย
• ผลิตอย่างไร (How to Produce) นอกจากจะผลิตอะไร จำนวนเท่าไรแล้ว ผู้ผลิตต้องใช้เทคนิคการผลิตการจัดการอย่างไร เช่น เลือกวิธีผลิต หรือเลือกปัจจัยการผลิตที่เหมาะสม • ผลิตเพื่อใคร (or Whom to Produce) เป็นสำคัญมากที่ผู้ผลิตจะต้องทราบว่าสินค้าและบริการที่ผลิตได้จะจำแนกแจกจ่ายสู่ผู้บริโภคกลุ่มใด ด้วยเทคนิควิธีใด
ที่จะสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
ระบบเศรษฐกิจ (Economic System)
ระบบเศรษฐกิจ หมายถึง หน่วยธุรกิจ หรือสถาบันทางเศรษฐกิจจ่าง ๆ ร่วมกันดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้นโยบาย กฎหมาย ระเบียบ แบบแผน วัฒนธรรม และประเพณีเดียวกัน รูปแบบของระบบเศรษฐกิจที่ประเทศทั่วโลกนิยมใช้กันมี 3 รูปแบบที่สำคัญ ดังนี้
• ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบที่หลายประเทศนิยมกัน ได้แก่ อเมริกา ยุโรปตะวันตก
ญี่ปุ่น บางประเทศเรียกระบบนี้ว่าเสรีนิยม หรือระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งมีลักษณะดังนี้
• กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เอกชนมีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สิน สามารถสืบทอดเป็นมรดกได้
• เสรีภาพในธุรกิจ เอกชนสามารถเลือกประกอบธุรกิจได้ตามต้องการ
• การจัดตั้งหรือล้มเลิกธุรกิจ ทำได้โดยเสรี
• ใช้กลไกราคา
• การวางแผนหรือกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ เอกชนจะเป็นผู้วางแผนแก้ปัญหาเศรษฐกิจเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร
การลงทุน การผลิต
• ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ (Communism) บางประเทศเรียกระบบสังคมนิยมบังคับ หรือระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้
• เอกชนไม่มีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของในทรัพย์สิน
• เอกชนไม่มีแม้เสรีภาพในการประกอบอาชีพ
• รัฐจะผูกขาดตลาด เอกชนทำการแข่งขันไม่ได้
• รัฐเป็นผู้กำหนดราคาสินค้านั่นคือกลไกราคาไม่มีบทบาทในตลาด
• รัฐเป็นผู้วางแผนและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ
• ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (Mixed Economy) ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมีอิสระเสรีภาพมากเกินไป ในขณะที่ระบบคอมมิวนิสต์ขาดเสรีภาพ ดังนั้นในหลายประเทศจึงพอใจเลือกเดินทางสายกลาง ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบผสม ซึ่งมีลักษณะดังนี้
• เอกชนมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สินได้
• เอกชนมีสิทธิ์ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เสรี แต่บางกิจกรรมที่รัฐจะต้องเข้ามาควบคุม เช่น ในกิจกรรมที่ให้คุณให้โทษแก่สังคมโดยส่วนรวม การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
• ระบบราคา
ได้ใช้กลไกราคาควบคู่กับการวางแผน หมายถึง ราคาจะถูกกำหนดโดย อุปสงค์และอุปทาน ยกเว้นบางกิจกรรมที่รัฐจะเข้ามาควบคุม เช่น การรถไฟ การไฟฟ้า การประปา การเงินการธนาคารและอุตสาหกรรมบางประเภท เป็นต้น
ในปัจจุบันระบบเศรษฐกิจแบบรัฐวางแผนกันแบบทุนนิยมร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มี ความจริงทุกประเทศในโลกต่างใช้ลักษณะระบบเศรษฐกิจแบบผสมทั้งสิ้น เพียงแต่ผสมผสานเข้มแค่ไหนที่เราเรียกกันว่า ระบบเศรษฐกิจเอียงซ้ายหรือเอียงขวา เพื่อให้เข้าใจง่าย
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
•
สินค้ามีหลากหลายชนิดให้เลือกได้ตามอำนาจซื้อและตามความพอใจของผู้บริโภค
• สินค้ามีความประณีต สวยงาม เต็มไปด้วยงานสร้างสรรค์
• สินค้าราคาถูก เพราะเป็นตลาดแข่งขัน กลไกราคามีบทบาทมากที่สุด
• เทคนิคในการผลิตได้รับการพัฒนาเนื่องจากภาวะที่ต้องแข่งขันกัน
• ทรัพยากรถูกนำมาจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ปัจจัยการผลิต
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
- การทำลายสิ่งแวดล้อม
- การเอารัดเอาเปรียบ
- รายได้เหลื้อมล้ำมาก