PwC เปิดตัวรายงานใหม่ ‘Asia Pacific’s Time: Responding to the new reality’ ในวันนี้ ร่วมกับการประชุม APEC CEO Summit 2022 ที่จัดขึ้น ณ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดย PwC ได้รับเกียรติให้เป็น ‘พันธมิตรด้านองค์ความรู้’ อีกครั้ง
รายงานระบุว่า ผลกระทบที่ยืดเยื้อจากการระบาดของโควิด-19 ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อสูง ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน และความท้าทายใหม่ด้านแรงงาน รวมถึงแรงกดดันให้ธุรกิจเร่งดำเนินการในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ได้ก่อให้เกิดสภาวะความไม่สมดุล (disequilibrium) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและธุรกิจยังเปลี่ยนวิถีเศรษฐกิจและสังคมไปจากเดิมอย่างมาก
นาย บ็อบ มอริตซ์ ประธาน บริษัท PwC โกลบอล กล่าวว่า “โลกกำลังเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน หากผู้นำธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกต้องการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต มีความสามารถในการแข่งขัน และฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก พวกเขาต้องเปิดรับความท้าทายและโอกาสจาก ESG และโลกแห่งการทำงานที่ยืดหยุ่น กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนวาระเหล่านี้ให้มีความก้าวหน้าในโลกแห่งความเป็นจริงใหม่ คือ การปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานไปสู่ความร่วมมือทั่วทั้งภูมิภาคโดยอาศัยการสร้างความไว้วางใจและส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนซึ่งต้องเริ่มดำเนินการเดี๋ยวนี้”
ทั้งนี้ การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปของภูมิภาคไม่เพียงพอที่จะฝ่าฟันช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปได้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องปรับสู่การทำงานเชิงรุกและมีความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเองมากขึ้น พวกเขาต้องประยุกต์ใช้กลยุทธ์ใหม่ที่มีความเหมาะสม เพื่อดำเนินธุรกิจไปสู่ความสำเร็จในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีพลวัตและเชื่อมต่อถึงกันมากขึ้น
จากการสนทนาของเรากับผู้นำธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาค เราเชื่อว่ามีปัจจัยความสำเร็จที่สอดคล้องและส่งเสริมกันห้าประการที่จะช่วยขับเคลื่อนความแตกต่างและความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจและรัฐบาลมีความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งเราได้เน้นย้ำในรายงาน ทั้งนี้ ปัจจัยความสำเร็จดังกล่าว มีความเชื่อมโยงและพึ่งพาอาศัยกัน โดยแต่ละปัจจัยส่งเสริมกันและการดำเนินการต่อปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ส่งผลกระทบต่อปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งประกอบไปด้วย:
- ห่วงโซ่อุปทาน – ภาวะหยุดชะงัก (disruption) ทำให้ธุรกิจต้องประเมินกลยุทธ์การจัดหาใหม่ ผู้นำในเอเชียแปซิฟิกต้องเปลี่ยนโฟกัสจากต้นทุนและประสิทธิภาพ (cost and efficiency) ไปสู่ความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก (resilience) และความไว้วางใจ (trust) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค
- การเติบโตขององค์กรระดับภูมิภาค – โอกาสสำหรับการสร้างคุณค่า (value creation) ในเอเชียแปซิฟิกนั้นมีมากมาย เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตในภูมิภาค dealmaker ต้องใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ ‘ขับเคลื่อนด้วยความสามารถ’ ซึ่งผสมผสานระหว่างกระบวนการ เครื่องมือ เทคโนโลยี ทักษะ และวัตถุประสงค์ขององค์กร
- เศรษฐกิจดิจิทัล – การเปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่ดิจิทัล (digitalisation) มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการตอบสนองต่อความเป็นจริงใหม่ ธุรกิจต่าง ๆ ต้องเปิดรับการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงลึก ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และเท่าทันการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนมากขึ้น
- กำลังแรงงาน – พนักงานในเอเชียแปซิฟิกให้คุณค่ากับการดำเนินงานที่มีความหมายและความถูกต้องแท้จริง และ 90% ของแรงงาน สนับสนุนการทำงานแบบทางไกล หรือแบบผสมผสาน เพื่อสร้างความไว้วางใจและตอบสนองต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน ผู้นำธุรกิจต้องทบทวนการยกระดับทักษะแรงงาน เปิดรับความยืดหยุ่น และส่งมอบงานที่ขับเคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์
- ESG – ESG ไม่ใช่สิ่งที่ ‘มีก็ดี’ สำหรับธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกอีกต่อไป การวิจัยของ PwC ระบุว่า 88% ของซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ธุรกิจต้องเปลี่ยนความตั้งใจดีไปสู่การสร้างคุณค่า โดยเร่งสร้างความก้าวหน้าในการจัดลำดับประเด็นความสำคัญด้าน ESG เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดสำหรับเงินทุนและบุคลากรที่มีความสามารถ
นาย เรย์มอนด์ ชาว ประธาน PwC ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า “โลกรวมทั้งเอเชียแปซิฟิกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วและยังดำเนินต่อไป ในฐานะผู้นำเราต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างความไว้วางใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สร้างคุณค่า เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืน นี่ต้องอาศัยกรอบความคิดที่เน้นการเปลี่ยนแปลงและมีความแตกต่างบนพื้นฐานของการทำงานร่วมกัน ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันและลงมือปฏิบัติเดี๋ยวนี้เพื่อความเป็นจริงใหม่ในภูมิภาค”
2.7 จริยธรรมทางธุรกิจ (Business Ethics) นอกจากผู้บริโภคที่มีความรู้มากขึ้น แนวความคิดทางการตลาดใหม่ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาในการกำหนดราคาให้เหมาะสมและถูกต้อง ไม่ใช่คำนึงถึงแต่กลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญกับปฏิกิริยาของผู้บริโภคหรือรัฐบาลต้องออกมาตรการในการควบคุม หากธุรกิจทำให้สังคมเดือดร้อนหรือปั่นป่วนภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่สามารถพบได้ตั้งแต่ 4 สัปดาห์ ถึง 1 ปีหลังคลอด โดยช่วง 3-6 เดือนหลังคลอดเป็นระยะที่พบได้มากที่สุด ในปัจจุบันมีสถิติที่คุณแม่หลายท่านประสบกับภาวะซึมเศร้าหลังคลอดสูงขึ้นถึงร้อยละ 19 ภายในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาในประเทศที่กำลังพัฒนา สำหรับในประเทศไทยนั้น พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น ร้อยละ 10 และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงประมาณร้อยละ 26 อาจจะเป็นเพราะสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ในการใช้ชีวิตประจำวันของคุณแม่หลังคลอด
รองศาสตราจารย์ ดร. นพพร ว่องสิริมาศ กล่าวถึง สาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่ก็มีหลายปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้ เช่น ความเครียดที่มีตั้งแต่ระยะการตั้งครรภ์ถึงคลอด การไม่สามารถปรับตัวจากการเปลี่ยนผ่านบทบาทจากโสดมาสู่การเป็นแม่ ความไม่พร้อมในการตั้งครรภ์ แม้แต่การเจ็บปวดในระยะคลอด เช่น การผ่าตัด (กลไกของร่างกาย) ความไม่ประสบความสำเร็จในการให้นมบุตรซึ่งทำให้แม่รู้สึกขาดความภาคภูมิใจในตนเองที่ไม่สามารถแสดงบทบาทการเป็นแม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่งานวิจัยพบว่าส่งผลได้อีก เช่น ประสบการณ์ของการถูกทำร้ายจิตใจในวัยเด็ก หรือประสบการณ์การถูกทำร้ายจิตใจและร่างกายจากคู่สมรส เป็นต้น
ด้วยปัจจัยจากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ทำให้คุณแม่หลายท่านมีอาการซึมเศร้าหลังคลอด เช่น รู้สึกเศร้า หดหู่ น้อยใจ ทุกข์ใจ ท้อแท้ เหนื่อยหน่าย นอนไม่หลับ ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ มีแนวทางในการรักษาได้ โดยแบ่งเป็นในระยะเบื้องต้น ถ้าได้รับการดูแลรักษาที่เร็วจะทำให้สามารถจัดการภาวะทางอารมณ์ได้ดี ลดความเครียด ความวิตกกังวลได้ และหายได้เอง แต่ถ้าเป็นมากและไม่สามารถหายได้ในสองสัปดาห์ จะต้องเข้าสู่การรักษา เพื่อให้อาการเบาลงได้ โดยแนวทางการรักษา จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ แบ่งเป็น 1) การให้ยาปรับอารมณ์ 2) การใช้โปรแกรมจิตบำบัดโดยผู้เชี่ยวชาญ และในผู้ป่วยบางรายอาจต้องให้ยาควบคู่ไปกับการใช้โปรแกรมจิตบำบัด จะทำให้การรักษาได้ผลในระยะยาวดีที่สุด
ทั้งนี้ในส่วนภาควิชาสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีอาจารย์พยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาในกรณีที่มีปัญหาสุขภาพจิต หรือเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าในทุกช่วงวัย โดยที่ผ่านมามีการให้คำปรึกษาและทำจิตบำบัดมาโดยตลอด ซึ่งในกรณีคุณแม่หลังคลอดนี้ เป็นภาวะที่บอบบาง หากไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างทันท่วงทีจะส่งผลกระทบต่อบุตรโดยตรง มีงานวิจัยพบว่า บุตรที่ถูกเลี้ยงโดยมารดาที่มีอาการซึมเศร้าจะมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไป ซึ่งหากท่านใดมีปัญหา สามารถขอคำปรึกษาจากอาจารย์พยาบาลผู้เชี่ยวชาญได้ที่ Line Official Account : MU Mymind หรือ link ได้ที่ //lin.ee/uuM8UvB หรือสแกน QR CODE ได้เลยค่ะ
และในปัจจุบันนี้ คณะพยาบาลศาสตร์ ได้ร่วมกับ ภาคเอกชน ในการร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้คำปรึกษาโดยอาจารย์พยาบาลผู้มีความเชี่ยวชาญกับคุณแม่ ในเรื่องราวต่างๆ ของการเลี้ยงลูก ทั้งนี้ในส่วนของการให้คำปรึกษาภาวะซึมเศร้าคุณแม่หลังคลอด หรือปัญหาสุขภาพใจของคุณแม่ ภาควิชาสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จะคอยส่งอาจารย์พยาบาลในภาควิชา ให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะแก่คุณแม่ที่มีปัญหาเพื่อให้ทุกปัญหามีทางออก และส่งผลที่ดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจของคุณแม่และครอบครัวต่อไป