การเดินทางของพลังงานไฟฟ้า
และระบบส่งจ่ายไฟฟ้า
ไฟฟ้าที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ส่งมาถึงบ้านเราได้ยังไงนะ? แล้วสายไฟฟ้าที่ใช้ในการส่งพลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าต้นทางมาจนถึงปลายทางผู้ใช้งาน ใช้สายไฟฟ้าชนิดใดบ้าง?
วันนี้ เฟ้ลปส์ ดอด์จ ผู้นำการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิล จะมาอธิบายการเดินทางของพลังงานไฟฟ้าและสายไฟฟ้าที่ใช้ในระบบส่งจ่ายไฟฟ้าของเรา
โดยการเดินทางระยะไกลของพลังงานไฟฟ้าระดับหลายร้อยหลายพันเมกกะวัตต์จากโรงผลิตไฟฟ้ามีรายละเอียดการเดินทาง ดังนี้
1. เริ่มต้นจากการเพิ่มระดับแรงดันไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้า 10 – 40 กิโลโวลต์ให้สูงขึ้นถึงระดับ 230 หรือ 500 กิโลโวลต์ เพื่อลดความสูญเสียในสายส่ง แล้วส่งไฟฟ้าผ่านสายส่งแรงดันสูง (Transmission line) ที่เป็นตัวนำอลูมิเนียมเปลือยเสริมแกนเหล็กชนิด ACSR (Aluminium Conductor Steel Reinforced) ติดตั้งบนเสาสูงโครงสร้างโลหะ เดินทางข้ามจังหวัดเป็นระยะทางไกลจากโรงไฟฟ้ามาถึงเขตชุมชนเมือง
2.จากนั้นสถานีไฟฟ้าในแต่ละพื้นที่จะแปลงแรงดันไฟฟ้าให้ต่ำลงเป็นไฟฟ้าแรงดันสูง 115 หรือ 69 กิโลโวลต์ แล้วส่งจ่ายไฟฟ้าต่อไปโดยใช้สายตัวนำอลูมิเนียมเปลือย AAC (All Aluminum Stranded Conductor) ติดตั้งบนเสาไฟฟ้าคอนกรีต
3.เมื่อถึงสถานีไฟฟ้าย่อยจะแปลงไฟฟ้าแรงดันสูงเป็นแรงดันปานกลาง 22, 24 หรือ 33 กิโลโวลต์ (ขึ้นอยู่กับระบบการจ่ายไฟฟ้าในแต่ละพื้นที่) แล้วส่งผ่านสายอลูมิเนียมหุ้มฉนวนและเปลือกชนิด SAC (Spaced Aerial Cable) ซึ่งติดตั้งบนเสาไฟฟ้าคอนกรีต
4.เมื่อใกล้ถึงผู้ใช้งานก็จะแปลงแรงดันไฟฟ้าลงอีกครั้งเป็นไฟฟ้าแรงดันต่ำแล้วจ่ายผ่านสายอลูมิเนียมหุ้มฉนวนชนิด WPC (Weather Proof Cable) ส่งมาที่อาคารบ้านเรือนของเราค่ะ
สำหรับลูกค้าที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณมาก เช่น โรงงานอุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้า จะซื้อไฟฟ้าแรงดันสูง 115 หรือ 69 กิโลโวลต์ หรือแรงดันปานกลาง 22, 24 หรือ 33 กิโลโวลต์จากการไฟฟ้าโดยตรงโดยมีหม้อแปลงของตัวเองสำหรับแปลงเป็นไฟฟ้าแรงดันต่ำเพื่อใช้งานภายใน
ที่กล่าวมานั้นเป็นการส่งจ่ายไฟฟ้าผ่านระบบสายอากาศ คือส่งผ่านสายไฟฟ้าที่ติดตั้งแขวนลอยในอากาศบนเสาไฟฟ้าซึ่งเป็นวิธีหลักที่ใช้ส่งจ่ายไฟฟ้าในบ้านเราและสามารถพบเห็นได้ทั่วไป
แต่นอกจากนี้แล้วยังมีการส่งจ่ายไฟฟ้าผ่านระบบสายใต้ดิน ซึ่งปัจจุบันมีใช้ในบางพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่หรือเมืองท่องเที่ยวที่ต้องการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงามปราศจากเสาและสายไฟฟ้าที่รกรุงรัง
โดยสายไฟฟ้าใต้ดินจะเป็นสายไฟตัวนำทองแดงหุ้มฉนวน XLPE (Cross-linked Polyethylene) มีชิลด์โลหะสำหรับสายไฟแรงดันปานกลางและสายไฟแรงดันสูง มีชั้นของวัสดุกันน้ำกันความชื้น และมีเปลือกชั้นนอกที่ทำจาก PE (Polyethylene) หรือ PVC (Polyvinyl Chloride) ซึ่งทำให้สายไฟฟ้าใต้ดินมีความปลอดภัยสูง มีความแข็งแรง กันน้ำและความชื้นได้ดี สามารถติดตั้งในท่อร้อยสายที่ฝังใต้ดินหรือฝังดินได้โดยตรง
โดยสายไฟฟ้าใต้ดินนี้สามารถผลิตให้ครอบคลุมการใช้งานได้ทั้งระดับแรงดันสูง แรงดันปานกลาง และแรงดันต่ำ Phelps Dodge สามารถผลิตสายใต้ดินได้ถึงระดับแรงดัน 245 กิโลโวลต์ และ Phelps Dodge ยังมีห้องทดสอบแรงดันฟ้าผ่า (Lightning Impulse Voltage Test) ที่สามารถสร้างแรงดันทดสอบได้สูงถึง 1050 กิโลโวลต์
ทุกการเดินทางของพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย สายไฟฟ้าเฟ้ลปส์ ดอด์จ มีส่วนร่วมในหน้าที่ที่สำคัญนี้มายาวนานกว่า 50 ปี สายไฟฟ้า เฟ้ลปส์ ดอด์จ จึงเป็นอุปกรณ์สำคัญในการส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้า จากระบบสายส่งไฟฟ้าแรงดันสูงครอบคลุมไปจนถึงสายไฟฟ้าในระบบจำหน่ายแรงดันปานกลางและแรงดันต่ำที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม พาณิชย์และครัวเรือน
ในทุกๆ จุดของการเดินทางของพลังงานไฟฟ้าที่แสนไกลนั้น สายไฟฟ้ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำหน้าที่เป็นตัวส่งผ่านพลังงานไปสู่ผู้ใช้ไฟฟ้าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
เพราะฉะนั้น สายไฟฟ้ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกใช้สายไฟฟ้าที่มีการออกแบบและผลิตได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพสูงสุดตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน มีความแข็งแรง ทนทาน และมี ความปลอดภัยสูงสุด
ดังนั้นสายไฟฟ้า เฟ้ลปส์ ดอด์จ จึงเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงในการผลิตสายไฟฟ้า อาทิเช่น ทองแดงบริสุทธิ์เกรด A ที่มีความบริสุทธิ์ไม่น้อยกว่า 99.99% เพื่อให้สายไฟฟ้านำกระแสไฟฟ้าได้ดีที่สุด
ฉนวนและเปลือกสายไฟฟ้าผลิตจากเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงจากผู้ผลิตชั้นนำ และเราใช้วัตถุดิบที่เป็นของใหม่ทั้งหมดโดยไม่มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิลเพื่อให้แน่ใจว่าสายไฟ เฟ้ลปส์ ดอด์จ ทุกเส้นมีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด
เพราะฉะนั้นการเลือกใช้สายไฟฟ้าจึงไม่ใช่อะไรก็ได้ เนื่องจาก สายไฟฟ้าเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเราตลอดเวลาคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกในการเลือกใช้สายไฟฟ้า เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตเราตลอดจนผู้คนที่อยู่รอบข้างและคนที่เรารักค่ะ
แล้วสายไฟฟ้าที่เดินอยู่ที่บ้านของคุณใช้สายไฟฟ้าเฟ้ลปส์ ดอด์จ อยู่หรือเปล่า
สอบถามและสั่งซื้อสินค้า
Tel. 02 680 5800
ระบบส่งไฟฟ้า
ปัจจุบัน “พลังงานไฟฟ้า” เป็นสิ่งจำเป็นระดับต้นๆของวิถีชีวิตปัจจุบัน นอกจากนี้พัฒนาการด้านพลังงานไฟฟ้ายังมีส่วนผลักดันในการเปลี่ยนแปลงมิติอื่น ๆ ทั้งด้านอุตสาหกรรม การแพทย์สาธารณสุข การคมนาคม การศึกษา การท่องเที่ยว และการสื่อสาร เป็นต้น
โดยเส้นทางแห่งการพัฒนาพลังงานไฟฟ้า ยังคงก้าวไปด้วยกลไกแห่งการสร้างสรรค์คุณภาพ ที่พร้อมส่องแสงอันสว่างไสวจากแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าที่หลากหลายเชื้อเพลิง เชื่อมโยงผ่านด้วยสายใยของ “ระบบส่งไฟฟ้า”
ระบบส่งไฟฟ้าจึงมีส่วนสำคัญในการส่งพลังงานไฟฟ้าจากผู้ผลิตมาสู่ผู้ใช้ไฟ ทำให้ประชาชนเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง ระบบส่งสร้างความเจริญสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ ก่อให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นำไปสู่ความเชื่อถือในการลงทุนในทุกภาคส่วน
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดหา ผลิต ควบคุมระบบไฟฟ้าและส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าผ่านระบบเครือข่ายสายส่งไฟฟ้าของ กฟผ.ทั่วประเทศ โดยการเชื่อมโยงจากแหล่งผลิตไฟฟ้าไปยังระบบจำหน่ายของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งจะปรับแรงดันไฟฟ้าก่อนส่งถึงผู้ใช้ไฟฟ้าทุกภาคส่วนอย่างเหมาะสม
รู้จักระบบส่งไฟฟ้า
- สายส่งไฟฟ้าแรงสูง (Tranmission Line)
สายส่งไฟฟ้าแรงสูง (Tranmission Line)
สายส่งไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของระบบไฟฟ้าไทย ที่ต้องได้รับการดูแลบำรุงรักษาให้มีความมั่นคงและมีความพร้อมที่จะสร้างแสงสว่างแก่คนไทยทั่วทุกพื้นที่ หากขาดหรือชำรุดไปเพียงหนึ่งจุด อาจทำให้เกิดไฟฟ้าตกหรือดับเป็นวงกว้างได้
ดังนั้น “สายส่งไฟฟ้าแรงสูง”จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบไฟฟ้า ทำหน้าที่ส่งพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าไปยังศูนย์กลางใช้ไฟฟ้า และเชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้าหลายๆระบบเข้าด้วยกัน เพื่อส่งไฟฟ้าจากระบบหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่ง หรือถ่ายเทพลังงานไฟฟ้าระหว่างระบบให้แก่กันในกรณีฉุกเฉิน และกรณีที่บางระบบมีช่วงเวลาของการใช้ไฟฟ้าสูงสุดไม่ตรงกัน เสาและสายส่งไฟฟ้าแรงสูงจึงจำเป็นต้องอยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา
- สถานีไฟฟ้าย่อย (Substation)
สถานีไฟฟ้าย่อย (Substation)
ด้วยเหตุที่โรงไฟฟ้าส่วนใหญ่สร้างไว้ในที่ห่างไกลชุมชน การส่งกระแสไฟฟ้าจากที่ไกลๆ จะประสบปัญหาแรงดันไฟตก การสูญเสียสูง และส่งไฟฟ้าได้ในปริมาณน้อย ในทางตรงกันข้าม หากมีการส่งจ่ายไฟฟ้าด้วยแรงดันยิ่งสูง
การสูญเสียก็จะยิ่งต่ำ ส่งไฟฟ้าได้ปริมาณมาก ดังนั้นการมีสถานีไฟฟ้าเพื่อเปลี่ยนแรงดัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในด้านการลดการสูญเสียด้วยการเพิ่มแรงดันให้สูงมากๆ จะสามารถส่งไฟฟ้าไปได้ในระยะทางไกลๆ และได้ปริมาณมากๆ ขณะเดียวกันเมื่อกระแสไฟฟ้าเข้ามาสู่ตัวเมืองก็ต้องมีสถานีไฟฟ้า เพื่อลดแรงดันกลับลงมาให้เกิดความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งาน
สถานีไฟฟ้าย่อย (Substation) คือ สถานที่ตั้งอุปกรณ์ตัดตอนไฟฟ้า และอุปกรณ์แปลงแรงดันไฟฟ้า เป็นสถานที่ติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมการไหลของพลังงานไฟฟ้า เป็นจุดที่เชื่อมโยงระหว่างสายส่งไฟฟ้าจากจุดต่างๆถึงกัน และมีอุปปกรณ์สำหรับป้องกันระบบติดตั้งไว้เพื่อตัดสายส่งที่มีปัญหาลัดวงจรออกจากการจ่ายไฟฟ้า
- ลานไกไฟฟ้า (Switchyard)
ลานไกไฟฟ้า (Switchyard) ทำหน้าที่แปลงแรงดันที่ผลิตจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้สูงขึ้นเพื่อส่งต่อไปยังสถานีไฟฟ้าที่อยู่ห่างไกล ลดความสูญเสียในระบบ ซึ่งประกอบด้วยหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง ที่ทำหน้าที่่เพิ่มแรงดัน และระบบป้องกันทางไฟฟ้า
- ลูกถ้วย (Insulator)
ลูกถ้วย (Insulator)
เนื่องจากสายไฟฟ้าแรงสูงมีระยะอันตรายที่ไฟฟ้าจะกระโดดข้ามได้ ดังนั้นจึงต้องมีการจับยึดสายไฟฟ้า ด้วยวัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้า
ที่เรียกว่า “ลูกถ้วย” ในจำนวนที่พอเหมาะกับไฟฟ้าแรงสูงนั้น ซึ่งจำนวนชั้นของลูกถ้วย จะบ่งบอกถึงระดับแรงดันไฟฟ้าด้วย
ลูกถ้วย (Insulator) คือ อุปกรณ์ที่ใช้รองรับสายไฟฟ้าแรงสูง มีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า ป้องกันกระแสไฟฟ้าไหลจากตัวนำไปสู่โครงสร้างเสาส่ง หรือไหลลงดิน โดยลูกถ้วยของ กฟผ.ทำจากกระเบื้องเคลือบหรือแก้ว มีคุณสมบัติพิเศษคือมีความเป็นฉนวนมาก แข็งแรง ทนทาน แต่เมื่อใช้ไปนานๆ สัมผัสกับอากาศนานเข้าจะมีฝุ่นละอองมาเกาะทำให้เกิดการนำไฟฟ้าได้ จึงต้องมีการทำความสะอาดลูกถ้วยอย่าสม่ำเสมอ
ประเภทของเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง
เราเคยลองสังเกตไหมว่า เมื่อเราเดินทางผ่านตามถนนต่างๆในเมือง หรือต่างจังหวัด เรามักจะเห็นเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงที่มีรูปร่าง ขนาด ที่แตกต่างกันออกไป นั่นก็เพราะว่าเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงแต่ละประเภทมีลักษณะการใช้งานแยกตามระดับแรงดันไฟฟ้า จำนวนสายที่ใช้ในระบบ และพื้นที่ที่ตั้งเสาที่แตกต่างกันไป เพื่อให้การส่งจ่ายไฟฟ้ามีความมั่นคง ก่อให้เกิดเสถียรภาพในระบบไฟฟ้า ไม่ทำให้เกิดไฟตก ไฟดับ นั่นเอง
การที่ระบบไฟฟ้ามีแรงดันไฟฟ้าสูง จะช่วยส่งกระแสไฟฟ้าไปยังระยะทางไกล ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เนื่องจากไฟฟ้าแรงสูงมีแรงดันไฟฟ้าที่สูงมากเมื่อเทียบกับที่ใช้กันทั่วไปตามบ้านเรือน และอาคารต่าง ๆ (220 โวลต์) ไฟฟ้าแรงสูงจึงสามารถกระโดดข้ามอากาศเข้าหาวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการสัมผัสกับสายไฟเลย (เราจึงอาจจะเห็นนกที่ถูกไฟดูด โดยไม่จำเป็นต้องเกาะบนสายไฟ) ยิ่งถ้าไฟฟ้ามีแรงดันสูงมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เกิดการกระโดดข้ามได้ไกลมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ. ใช้ระดับแรงดันไฟฟ้า คือ 69 กิโลโวลต์ (ปัจจุบันใช้อยู่น้อยมาก) 115 กิโลโวลต์ 230 กิโลโวลต์ และ 500 กิโลโวลต์ ซึ่งถือเป็นไฟฟ้าแรงสูงทั้งหมด และในอนาคตหากมีความต้องการพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นและต้องส่งพลังงานไฟฟ้าในระยะไกลมากขึ้น อาจจะมีระดับแรงดันไฟฟ้าที่มากกว่า 500 กิโลโวลต์
ชนิดของเสาไฟฟ้าถูกออกแบบเป็นประเภทต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับแรงดันไฟฟ้าและจำนวนสายที่ใช้ในระบบของ กฟผ. โดยปัจจุบันมีเสาไฟฟ้าที่ใช้งานอยู่ 3 ชนิด คือ เสาคอนกรีต เสาโครงเหล็ก และเสาชนิด Monopole ซึ่งการใช้งานขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ที่ตั้งเสาไฟฟ้า
ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า
- ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ
ระบบไฟฟ้าประกอบด้วยโรงไฟฟ้าประเภทต่างๆ สายส่งไฟฟ้าระดับแรงดันต่างๆ และสถานีไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งตั้งกระจายอยู่ทั่วไปตามจังหวัดต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานกลางเพื่อให้โรงไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าแรงสูง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติงานเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด หน่วยงานดังกล่าวคือ “ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ”
การดำเนินงานของศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยมุ่งเน้นด้านความมั่นคง เชื่อถือได้ และมีคุณภาพเพียงพอต่อเนื่องของระบบไฟฟ้า ประสิทธิภาพและต้นทุนการผลิตเป็นสำคัญ โดยมิได้คำนึงว่าเป็นโรงไฟฟ้าของ กฟผ. หรือโรงไฟฟ้าเอกชน เพื่อบรรลุตามภารกิจดังกล่าว ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ ต้องสั่งการด้วยความเป็นธรรมต่อผู้ผลิตไฟฟ้าทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ที่กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตที่มีศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า ต้องสั่งให้ผู้ผลิตไฟฟ้าดำเนินการผลิตไฟฟ้าอย่างเป็นธรรมและจะเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมิได้ โดยมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นผู้กำกับดูแล
ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า มีความสำคัญต่อการผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าต่างๆ ให้แก่ผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าทั่วประเทศ และยังเป็นหน่วยงานกลาง ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างประหยัด มั่นคง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีภารกิจหลักต้องรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวฉันใด ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าก็มีความสำคัญควบคู่กันไปด้วย
ข้อกำหนดเพื่อความปลอดภัยในเขตเดินสายไฟฟ้า
เขตเดินสายไฟฟ้าเป็นพื้นที่รอบๆแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง โดยประกาศเป็นระยะทางจากแนวศูนย์กลางสายส่งไฟฟ้าแรงสูงออกไปเป็นระยะทางต่างๆกัน
กฟผ. อาศัยอำนาจตาม พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 และ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ประกาศและกำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าสำหรับดำเนินการก่อสร้างและบำรุงรักษา เพื่อประโยชน์แห่งความปลอดภัยในการส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้า โดยการจำกัดสิทธิบางประการในการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า และเป็นการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สิน
ประกาศการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เรื่อง ข้อกำหนดเพื่อความปลอดภัยในเขตเดินสายไฟฟ้า
- ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด อันอาจเป็นอันตรายแก่ระบบไฟฟ้า เช่น ห้ามนำวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรกล เช่น รถเครน รถยก รถตัก รถขุด เข้าใกล้สายไฟฟ้า แรงสูงอย่างน้อย 4.00 เมตร หรือ ห้ามเผาไร่อ้อย นาข้าว ป่าพง หรือ วัสดุอื่นใดในแนวเขตเดินสายไฟฟ้า
- ห้ามปลูกสร้างอาคาร บ้านเรือน หรือ สิ่งปลูกสร้างอื่นทุกชนิด ในเขตเดินสายไฟฟ้า
- ห้ามปลูกต้นไม้หรือพืชผล ในเขตเดินสายไฟฟ้า ดังนี้
- บริเวณพื้นที่ ที่ตั้งเสา และพื้นที่โดยรอบโคนเสา ภายในระยะห่างจากแนวขาเสา 4 เมตร ห้ามปลูกต้นไม้หรือพืชผลทุกชนิด
- บริเวณพื้นที่ในเขตเดินสายไฟฟ้านอกจากข้อ 3.1 ห้ามปลูกต้นไม้หรือพืชผล ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วมีความสูงเกินกว่า 3 เมตร
- บริเวณพื้นที่ในเขตเดินสายไฟฟ้าของสายส่งไฟฟ้าระดับแรงดัน 500,000 โวลต์ ห้ามปลูกอ้อย
- การกระทำใดๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นดินบริเวณพื้นที่ในเขตเดินสายไฟฟ้า เช่น การปรับ สภาพพื้นดินในสูงขึ้น การขุดดินหรือขุดบ่อ การก่อสร้างถนน จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากกฟผ.ก่อน โรงเรือนหรือสิ่งอื่น ที่สร้างขึ้นหรือทำขึ้น ต้นไม้หรือพืชผล ที่ปลูกขึ้น โดยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข หรือไม่ได้รับอนุญาตจาก กฟผ. ให้ กฟผ. มีอำนาจรื้อถอน ทำลาย หรือตัดฟัน ตามควรแก่กรณีโดยไม่ต้องจ่ายค่าทดแทน
ข้อกำหนดความกว้างเขตเดินสายไฟฟ้า
ขนาด (กิโลโวลต์) | ระยะห้ามจากจุดกึ่งกลางเสาออกไปด้านละ | รวมเขตเดินสายไฟฟ้า |
69 | 9 เมตร | 18 เมตร |
115 | 12-25 เมตร | 24-50 เมตร |
230 | 20-25 เมตร | 40-50 เมตร |
500 | 35-40 เมตร | 70-80 เมตร |
เมื่อมีความประสงค์จะติดต่อขออนุญาตกระทำการก่อสร้าง ปรับพื้นที่ในเขตเดินสายไฟฟ้า หรือมีข้อสงสัยใดๆ หรือ พบการกระทำใดๆ อันอาจเป็นอันตรายต่อระบบการส่งจ่ายกำลังไฟฟ้า อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของชาติ โปรดแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าผลิตแห่งประเทศไทย ที่ใกล้ที่สุด หรือศูนย์บริการข้อมูล กฟผ. 1416
เอกสารอ้างอิง
ที่มา
:
หนังสือระบบส่งไฟฟ้า เส้นเลือดใหญ่แห่งพลังงานไทย
หนังสือคำศัพท์น่ารู้ กฟผ.