ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล
|
25 มี.ค. 2565 เวลา 12:37 น. 3.6kผู้นำ มีบทบาทสำคัญมากในการขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จ และเป็นผู้มีบทบาท ที่จะทำให้องค์กรนั้นๆ เป็นสถานที่ที่ใครๆ ก็อยากทำงานด้วย
นายอภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา ผู้ก่อตั้ง และกรรมการบริหาร สลิงชอท กรุ๊ป เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่า หลายคนได้รับการอุปโลกน์ให้เป็นผู้นำเพราะเก่งงานอย่างหาตัวจับยาก แต่บ่อยครั้งที่ไม่ทันได้ตรวจสอบให้ดีว่าคนๆ นั้นมีภาวะผู้นำพร้อมแล้วหรือยัง
ต้องอย่าลืมว่าคนเก่งงานอาจจะไม่เก่งคนเสมอไป
วันนี้ขอนำเสนอ “ภาวะผู้นำ 7 แบบ” ที่ลูกน้องถวิลหา
- สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา : ผู้นำที่ดีควรสื่อสารอย่างจริงใจ จัดเตรียมช่องทางการสื่อสารที่เปิดกว้างสำหรับทีมงานนอกจากนั้นต้องรู้จักสื่อสารให้เหมาะสมกับลักษณะนิสัยใจคอของแต่ละคน
- เป็นผู้ฟังที่ดี : การฟังเป็นทักษะสำคัญของการสื่อสารที่มักถูกมองข้ามไป เมื่อหัวหน้าเปิดใจรับฟัง นอกจากจะได้ข้อมูลดีๆ จากทีมแล้ว ยังเป็นการสร้างบรรยากาศในการไว้อกไว้ใจ (Turst) ให้เกิดขึ้นในองค์กรอีกด้วย
- ส่งเสริมศักยภาพและเปิดโอกาสในการเติบโต : ผู้นำควรทำความรู้จักกับนิสัยใจคอ บุคลิก ความสนใจ งานอดิเรกจุดแข็ง จุดอ่อน ฯลฯ ของลูกทีมแต่ละคน เพราะเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการทำงานทั้งสิ้น เมื่อเรารู้จักลูกน้องดีพอ ก็จะสามารถช่วยส่งเสริมให้เติบโตและบรรลุเป้าหมายได้อย่างถูกที่ถูกทาง
- สอนแต่ไม่ออกคำสั่ง : ภาวะผู้นำไม่ใช่การออกคำสั่งว่าใครต้องทำอะไร แต่หมายถึงการพัฒนาบุคคลนั้นๆ ให้สามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้และสร้างสำเร็จได้ด้วยตัวเอง
- มีเป้าหมายที่ชัดเจน : เมื่อผู้นำสามารถกำหนดเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ย่อมช่วยให้ทุกคนรู้ว่าต้องโฟกัสอะไร ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องใด เพื่อจะได้บรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดบนจุดมุ่งหมายเดียวกัน
- ติในเชิงสร้างสรรค์ ชมในสิ่งที่ทำได้ดี : โบราณว่า “ติเพื่อก่อ” ยังคงเป็นคาถาอมตะสำหรับหัวหน้างานทุกๆ คน การให้ Feedback ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และที่สำคัญต้องปรับแต่งคำพูดให้ “ตรงแต่ไม่แรง” ในทางกลับกันเมื่อทำดีอย่าลืมกล่าวคำชมเชย เพื่อเป็นกำลังใจให้คนทำงาน
- พร้อมเปลี่ยนแปลง : เราไม่สามารถมองเห็นตัวเองได้ตลอดเวลา ฉะนั้นการรับฟังเสียงสะท้อนจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจากลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือลูกค้า และนำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง จงทำตัวเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้ตลอดเวลาเพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน
อย่าลืมว่า … ความสำเร็จต้องผสมผสานระหว่าง “เก่งงาน“ กับ “เก่งคน” ให้พอเหมาะพอดีอย่างลงตัว
1. ฉลาด อันประกอบไปด้วยความยุติธรรม และมีความสามารถในการใช้ถ้อยคำ
2. มีอดีตที่เคยประสบความสำเร็จในด้านการเรียนและการกีฬา
3. มีอารมณ์ที่สุขุมตรึกครองโดยรอบคอบและมั่นคง
4. พึ่งพาตัวเอง มีความเพียร และมีแรงขับสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
5. มีทักษะในการเข้าร่วมสมาคมและปรับตัวเข้ากับกลุ่มต่างๆได้
6. ต้องการสภาพและตำแหน่งทางสังคม
(Characteristics of Leader)
ผู้นำเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารหรือการจัดการ ผู้จัดการหรือผู้บริหารมีหน้าที่วางแผนและจัดระเบียบให้งานดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อย แต่ผู้นำมีหน้าที่ทำให้ผู้อื่นตามและการที่คนอื่นตามผู้นำก็ไม่มีใครรับรองว่า ผู้นำจะนำไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ ผู้นำที่เข้มแข็ง ก็อาจจะไม่ใช่ผู้จัดการ หรือผู้บริหารที่ดีได้ หรือผู้บริหารผู้จัดการที่ดี ก็อาจไม่ใช่ผู้นำที่ดีก็ได้ ดังนั้นเป็นไปได้ องค์การใดที่ต้องการประสบความสำเร็จย่อมต้องการผู้บริหาร หรือผู้จัดการที่มีลักษณะเป็นผู้นำดังนี้
4.1 มีความฉลาด ผู้นำต้องมีระดับความรู้และสติปัญญาโดยเฉลี่ยสูงกว่าบุคคลที่ให้เขาเป็นผู้นำ เพราะผู้นำต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ บุคคลที่มีความฉลาดเท่านั้นจึงสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ได้
4.2 มีวุฒิภาวะทางสังคมและใจกว้าง ผู้นำต้องมีความสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
อย่างกว้างขวาง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ต้องยอมรับสภาพต่าง ๆ ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ไม่ว่าผิดหวังหรือสำเร็จ ผู้นำต้องมีความอดทนต่อความคับข้องใจต่าง ๆ พยายามขจัดความรู้สึกต่อต้านสังคม หรือต่อต้านคนอื่นให้เหลือน้อยที่สุด เป็นคนมีเหตุผล มีความเชื่อมั่นในตนเอง และนับถือตนเอง
4.3 มีแรงจูงใจภายใน ผู้นำต้องมีแรงขับที่ทำอะไรให้เด่น ให้สำเร็จอยู่เสมอ เมื่อทำสิ่งหนึ่งสำเร็จก็ต้องการทำสิ่งอื่นต่อไป เมื่อทำสิ่งใดสำเร็จกลายเป็นแรงจูงใจท้าทายให้ทำสิ่งอื่นให้สำเร็จต่อไป ผู้นำต้องมีความรับผิดชอบอย่างสูง เพราะความรับผิดชอบเป็นบันไดที่ทำให้เขามีโอกาสประสบความสำเร็จ
4.4 มีเจตคติที่ดีเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ผู้นำที่ประสบความสำเร็จนั้น เขายอมรับอยู่เสมอว่า งานที่สำเร็จนั้นมีคนอื่นช่วยทำ ไม่ใช่ทำด้วยตนเอง ดังนั้น ผู้นำต้องพัฒนาความเข้าใจและทักษะทางสังคมในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ผู้นำต้องให้ความนับถือผู้อื่นและจำต้องระลึกอยู่เสมอว่า ความสำเร็จในการเป็นผู้นำนั้น ขึ้นอยู่กับความร่วมมือกับผู้อื่น และการติดต่อกับบุคคลอื่นในฐานะที่เขาเป็นบุคคล ไม่ใช่ในฐานะที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานเท่านั้น ผู้นำต้องยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น และมีความสนใจร่วมกับผู้อื่น
4.5 มีความสามารถในการชักจูงใจผู้อื่น บุคคลจำนวนมากเชื่อว่าความสามารถในการชักจูงใจผู้อื่นซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นที่สุดในการเป็นผู้นำ
4.6 อุทิศตนให้แก่เป้าหมายขององค์การ ในองค์การทุกประเภทมีงานยากลำบากซึ่งต้องปฏิบัติให้สำเร็จ เช่น การเพิ่มยอดขาย การลดต้นทุน การได้ลูกค้ารายใหม่ หรือการขายหุ้น เป็นต้น การมีประสิทธิภาพของผู้นำขึ้นอยู่กับว่าเขาผูกมัดต่อเป้าหมายที่ต้องการบรรลุอย่างไรเป็นส่วนใหญ่ การอุทิศตนถูกแสดงให้เห็นโดยการทำงานหนักด้วยตัวเอง
4.7 มีความสามารถในการปฏิบัติตนเป็นตัวอย่าง ผู้บริหารต้องการให้บุคคลอื่นทำงานอย่างเต็มความสามารถ จึงต้องปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างโดยการทำงานหนัก หรือผู้บริหารวางแผนรณรงค์ทางเศรษฐกิจ ต้องการใช้จ่ายเงินอย่างประหยัด ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพทราบว่าบุคคลสังเกตพฤติกรรมของเขาและมักจะประพฤติในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
4.8 มีความเต็มใจรับความเสี่ยง ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งให้ข้อคิดเห็นที่สัมพันธ์กับความเสี่ยงและความเป็นผู้นำว่า “ความแน่วแน่ (ในการเป็นผู้นำ) คือความเต็มใจรับความเสี่ยง” ความเสี่ยงคือโอกาสที่สูญเสีย ได้รับบาดเจ็บ เสียผลประโยชน์หรือพ่ายแพ้
4.9 มีความเต็มใจรับความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ผู้บริหารไม่สามารถมอบหมายความรับผิดชอบที่มีต่อกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติผู้บริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ มักจะพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดความผิดพลาด เช่น ผู้จัดการแผนกขายตำหนิพนักงานขายที่ไม่สามารถขายได้ตามโควตา เป็นต้นไม่ได้ปฏิบัติตัวเป็นผู้นำที่ดี
4.10 มีความเต็มใจสนับสนุนพนักงาน พนักงานนับถือผู้บริหารที่มีความรับผิดชอบอย่างสูงเมื่อเกิดความผิดพลาดและนับถือผู้บริหารที่ให้การยกย่องเมื่อความพยายามประสบความสำเร็จ ในทางตรงกันข้ามพนักงานไม่นับถือผู้บริหารที่รับเอาการยกย่องและการสรรเสริญเป็นของตนเอง
ดังนั้นผู้นำ ซึ่งหมายความถึงบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาหรือได้รับการยกย่องขึ้นให้เป็นหัวหน้าผู้ตัดสินใจ เพราะมีความสามารถปกครองบังคับบัญชาและพาผู้ตามหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ไปในทางดีหรือชั่วได้ โดยใช้ระบบกระบวนการติดต่อซึ่งกันและกันในอันที่จะให้บรรลุเป้าหมาย และความสามารถชักจูงผู้อื่นให้ความร่วมมือร่วมใจกับตน ดำเนินการไปสู่จุดมุ่งหมายของตนได้ ดังนั้น การเป็นผู้นำจึงเป็นศิลปะของการมีอิทธิพลเหนือคนและนำคนแต่ละคนไปโดยที่คนเหล่านั้นมี ความเชื่ออย่างเต็มใจ มีความมั่นใจในตัวผู้นำ มีความเคารพนับถือและให้ความร่วมมือกับผู้นำด้วยความจริงใจ เพื่อได้ปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงไปด้วยดี ภาวะผู้นำนั้น ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการบริหารงาน และเป็นจุดรวมพลังของทุกคนในองค์การ ฉะนั้น ผู้นำย่อมเป็นหลักที่มีความสำคัญยิ่งในการบริหารงาน ต่อผู้ใต้บังคับบัญชา และต่อผลงานอันเป็นส่วนรวม คุณภาพและคุณลักษณะของผู้นำย่อมมีผลสะท้อนต่อวิธีปฏิบัติงานและผลงานขององค์การเป็นอย่างมาก