1.
ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับบทเสภาสามัคคีเสวก
A.
บทเสภาสามัคคีเสวกเกิดขึ้นในราวปี พ.ศ.2457
B.
บทเสภาสามัคคีมี 4 ตอน คือ กิจการแห่งนที กวีนิรมิต วิศวกรรมาและสามัคคีเสวก
C.
บทเสภาสามัคคีแต่งด้วยกาพย์ยานีกับกลอนสุภาพ
D.
บทเสภาสามัคคี ใช้สำหรับขับอธิบายนำเรื่องในการฟ้อนรำตอนต่างๆ
2.
อันชาติใดไร้ช่างชำนาญศิลป์ เหมือนนารินไร้โฉมบรรโลมสง่าใครใครเห็นไม่เป็นที่จำเริญตา เขาจะพากันเย้ยให้อับอายคำประพันธ์ข้างต้นใช้โวหารภาพพจน์แบบใด
A.
คำอุปมา
B.
คำอุปลักษณ์
C.
คำสัญลักษณ์
D.
คำนามมัย
3.
"เพราะขาดเครื่องระงับดับรำคาญ โอสภใดจะสมานซึ่งหัวใจ"คำว่า "โอสถ" ในที่นี้หมายถึงข้อใด
A.
ยารักษาโรค
B.
ความร่ำรวย
C.
งานศิลปะ
D.
ความรัก
4.
"เหมือนคนป่าคนไพรไม่รุ่งเรือง จะพูดด้วยนั้นก็เปลืองซึ่งวาจา"ข้อความในข้อใดสัมพันธ์กับข้อความที่กำหนดให้
A.
เพราะการช่างนี้สำคัญอันวิเศษ ทุกประเทศนานาทั้งน้อยใหญ่
B.
ศิลปกรรมนำใจให้สร่างโศก ช่วยบรรเทาทุกข์ในโลกให้เหือดหาย
C.
อันชาติใดไร้ศานติสุขสงบ ต้องมัวรบรานรอนหาผ่อนไม่
D.
ใครดูถูกผู้ชำนาญในการช่าง ความคิดขวางเฉไฉไม่เข้าเรื่อง
5.
แม้พวกเราชาวไทยตั้งใจช่วย เอออำนวยช่างไทยให้ทำของ ช่างคงใฝ่ใจผูกถูกทำนอง และทำของงามงามขึ้นตามกาลคำประพันธ์นี้กล่าวด้วยน้ำเสียงตรงกับข้อใด
A.
เตือนสติ
B.
ขอร้อง
C.
ตำหนิ
D.
เชิญชวน
6.
ประการหนึ่งพึงคิดในจิตมั่น ว่าทรงธรรม์เหมือนบิดาบังเกิดหัว ควรเคารพยำเยงและเกรงกลัว ประโยชน์ตัวนึกน้อยหน่อยจะดีจากคำประพันธ์ผู้เขียนมีจุดประสงค์อย่างไร
A.
ให้ข้าราชการทำเพื่อส่วรรวม
B.
ให้ทุกคนทำประโยชน์เพื่อตนเอง
C.
ให้ประชาชนยึดมั่นในตนเอง
D.
ให้จงรักภักดีต่อพระเจ้าเเผ่นดิน
7.
ในบทเสภาสามัคคีเสวกสาระสำคัญของเรื่องตรงกับข้อใดมากที่สุด
A.
ประเทศชาติจะไปรอดเพราะทุกคนเข้าใจกัน
B.
ความเห็นแก่ตัวนำไปสู่ความล้าหลัง
C.
ข้าราชการมีความสามัคคีทำให้เกิดความเจริญ
D.
ข้าราชบริพารล้วนแต่ซื่อสัตย์สุจริต
8.
"แม้ต่างคนต่างเถียงเกี่ยงแก่งแย่ง นายเรือจะเอาแรงมาแต่ไหน"ข้อใดมีความสัมพันธ์แสดงผลของคำประพันธ์นี้
A.
นายจะสั่งสิ่งใดไม่เข้าจิต จะต้องติดตันใจให้ขัดขวาง
B.
จะยุ่งแล้วยุ่งเล่าไม่เข้าทาง เรือก็คงอับปางกลางสาคร
C.
ควรเคารพยำเยงและเกรงกลัว ประโยชน์ตัวนึกน้อยหน่อยจะดี
D.
ควรนึกว่าบรรดาข้าพระบาท ล้วนเป็นราชบริพารพระทรงศรี
9.
ในบทเสภาสามัคคีเสวกข้อใดเปรียบเทียบไม่ถูกต้อง
A.
ลูกเรือ = ข้าราชบริพาร
B.
กัปปิตัน = พระมหากษัตริย์
C.
นาวา = ประเทศไทย
D.
คลื่นลมแรง = ความสามัคคี
10.
เหล่าเสวกตกที่กะลาสี ควรคิดถึงหน้าที่นั้นเป็นใหญ่ รักษาตนเคร่งคงตรงวินัย สมานใจจงรักพระจักรี ไม่ควรเลือกที่รักมักที่ชัง สามัคคีเป็นกำลังพลังศรี ควรปรองดองในหมู่ราชเสวี ให้สมที่ร่วมพระเจ้าเราองค์เดียวข้อใดไม่ได้กล่าวถึงในคำประพันธ์
A.
ความเพียรพยายาม
B.
ความสามัคคี
C.
ความรับผิดชอบ
D.
ความีวินัย
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา
๑. หากเรามีศิลปะอยู่ในใจก็เหมือนกับเรามีเครื่องผ่อนคลายความทุกข์อยู่ด้วย
๒. ศิลปกรรมเป็นสิ่งที่สวยงามจำเริญตา จำเริญใจเราจึงควรที่จะช่วยกันส่งเสริมและสนับสนุน
๓. ชาติที่มีความเจริญรุ่งเรือง จะมีศิลปะประจำชาติ ศิลปะหมายถึงภาพสะท้อนของความสุขสงบของประเทศ
๔. ชาติที่ไม่มีช่างทางด้านศิลปะ เหมือนผู้หญิงที่ไม่มีความงาม
๕. ใครดูถูกงานศิลปะ เหมือนคนป่าคนดง ไม่สมควรคบค้าสมาคมด้วย
๖. คนไทยควรช่วยรักษาศิลปะและอนุรักษ์ไว้ให้รุ่งเรืองตลอดไป เพื่อแสดงความเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมมายาวนาน
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน สามัคคีเสวก
๑. เหล่าข้าราชการต้องให้ความร่วมมือกับองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นผู้นำของประเทศ
๒. ข้าราชการต้องคำนึงถึงหน้าที่ของตนเป็นใหญ่ มีความเคร่งครัดในระเบียบวินัย
๓. ข้าราชการต้องมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน
๔. ข้าราชการต้องมีความสามัคคีปรองดองเพื่อนำชาติให้พัฒนาต่อไป
๕. การที่มีความพยายามในการทำอะไร ก็จะทำงานนั้นได้เสร็จสมบูรณ์ ไม่ว่าจะอุปสรรคอะไร ถ้ามีความอดทนอดกลั้น ก็จะประสบผลสำเร็จ
๖. การรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมใดก็ตาม เหมือนกับกองทรายกองใหญ่ แม้ว่าคลื่นจะซัดมาแรงแค่ไหน กองทรายกองนั้นก็จะไม่พัง ถึงพังก็น้อย แต่เมื่อคนในสังคมนั้นๆไม่สามัคคีกันแล้ว เปรียบได้กับกองทรายกองเล็ก ที่พร้อมจะถล่มได้ทุกเมื่อ ดังนั้น ความสามัคคีคือพลังที่สามารถฝ่าพ้นอุปสรรคน้อยใหญ่ได้
ข้อคิดที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
๑. ให้มีความรักและภูมิใจในศิลปะของชาติ กล่าวคือ ศิลปะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น มีการสั่งสม ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนกระทั่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เกิดเป็นความงามที่มีเอกลักษณ์ของชนชาติ ทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรม หัตถกรรม ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศการสร้างเจตคติที่ดีต่อศิลปะ ปลูกฝังจิตสำนึกให้เยาวชนรักศิลปะย่อมจะทำให้ศิลปะของชาติดำรงอยู่ได้
๒. ให้ตระหนักในหน้าที่ของตนประเทศชาติจะพัฒนาได้ย่อมต้องอาศัยบุคคลภายในชาติเป็นกลไกสำคัญ เนื่องด้วยแต่ละบุคคลจะดำรงสถานภาพและแสดงบทบาททางสังคมที่แตกต่างกัน โดยที่ทุกสถานภาพล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน หากบุคคลขาดความตระหนักในหน้าที่ของตนเอง บ่ายเบี่ยงหน้าที่ความรับผิดชอบย่อมไม่สามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับชาติได้
๓. ให้เห็นถึงความสำคัญของความสามัคคี ประเทศชาติประกอบด้วยบุคคลจำนวนมากการจะทำให้ประเทศพัฒนาไปข้างหน้า ความสามัคคีของคนในชาติเป็นสิ่งสำคัญ ต้องไม่คิดร้ายแก่งแย่งชิงดีหรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง เป็นเรื่องรองลงมาจากผลประโยชน์ส่วนตัวย่อมทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายได้ ความสามัคคีจะเป็นเครื่องผูกรวมจิตใจของคนในชาติ
๔. ให้เกิดความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อบ้านเมืองและข้าราชบริพาร ทรงเป็น “เหมือนกับปิตัน” ที่นำพาเรือฝ่าคลื่นพายุที่รุนแรงไปยังจุดมุ่งหมาย นั่นคือ ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองและความผาสุกของราษฎรทั้งมวลดังนั้น ประชาชนทุกคนจึงควรประพฤติปฏิบัติตามพระบรมราโชวาท รู้จักหน้าที่ของตนเองและปฏิบัติงานในหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ พร้อมทั้งมีระเบียบวินัยและมีความสามัครสมานสามัคคีกัน บ้านเมืองก็จะมีความสงบสุขและมีความเจริญรุ่งเรือง