หลังจากการออกกำลังกายอย่างหนักคุณอาจจะรู้สึกหมดแรงจนอยากจะทิ้งตัวลงนอนนิ่งและไม่ขยับไปไหนซักพัก แต่ก่อนที่คุณจะทำอย่างนั้นเราอยากให้คุณลองทำ 4 อย่างนี้ก่อนเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ เพิ่มความรวดเร็วในการรักษาของร่างกาย และเพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการออกกำลังกายในครั้งต่อไปมากขึ้น
- Cool Down/Warm Down หรือการเคลื่อนไหวร่างกายเบาๆหลังออกกำลังกาย
หลายๆคนเมื่อออกกำลังกายเสร็จก็จะรู้สึกเหนื่อยแบบสุดๆและอยากจะอาบน้ำนอนพักทันทีซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะหลังจากการออกกำลังกายอย่างหนักจะเกิดกรดแลคติคซึ่งเป็นของเสียที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังงานของร่างกายจำนวนมาก ซึ่งเจ้ากรดแลคติคนี้แหละคือต้นตอของความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ
วิธีการกำจัดกรดแลคติคของร่างกายนั้นคือการลำเลียงออกซิเจนในเลือดไปยับยั้ง แต่การออกกำลังกายนั้นส่งผลให้ชีพจรเต้นสูงกว่าปกติทำให้การไหลเวียนของเลือดเร็วขึ้นมาก ซึ่งการไหลเวียนที่เร็วเกินไปนั้นจะทำให้เลือดไม่สามารถลำเลียงออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้กรดแลคติคถูกยับยั้งได้ช้าและเราก็จะหายเมื่อยล้ากล้ามเนื้อช้าลง
การ Cool Down จะช่วยให้ชีพจรค่อยๆกลับมาปกติเร็วขึ้น ซึ่งการ Cool Down คือการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานช้าๆไปเรื่อยๆเพื่อให้เลือดลำเลียงออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงได้ดีขึ้นและชีพจรค่อยๆปรับช้าลงง่ายขึ้น เช่นหากคุณออกกำลังกายขาอาจจะใช้การเดินช้าๆซัก 5-10 นาที และลดความเร็วลงทุกๆ 1-2 นาทีเป็นการ Cool Down นั่นเอง
2. ยืดกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อที่ออกกำลังกายนั้นจะหดและเกร็งตัวระหว่างที่คุณออกกำลังกาย ซึ่งแม้หลังจากที่คุณหยุดออกกำลังกายแล้วอาการการหดและเกร็งตัวของกล้ามเนื้อนั้นก็จะยังอยู่ หากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้เกิดการบาดเจ็บกล้ามเนื้อได้ง่าย
ฉะนั้นการยืดกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานหลังออกกำลังกายจึงสำคัญอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บแล้วการยืดกล้ามเนื้อยังช่วยลดความเมื่อยล้าหลังออกกำลังกายได้อีกด้วย ยืดกล้ามเนื้อแต่ละส่วนประมาณ 30-60 วินาทีหลังออกกำลังกายหรือหากมี Foam Roller ช่วยในการนวดด้วยก็จะช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ดียิ่งขึ้น
3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและแร่ธาตุจำนวนมากซึ่งอาจทำให้เกิดอาการมึนหัวและรู้สึกเพลีย การดื่มน้ำเพื่อทดแทนการสูญเสียนี้จึงมีความจำเป็นอย่างมาก และน้ำยังสามารถลดการเกิดกรดแลคติคได้อีกด้วยเพราะกรดแลคติคนั้นมีคุณสมบัติละลายน้ำ การดื่มน้ำจึงสามารถลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้
4. ทานคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน
การเติมสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเข้าร่างกายหลังออกกำลังกายนั้นเพื่อให้ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้อย่างเต็มที่
การออกกำลังกายจะทำให้เกิดการอักเสบเล็กๆในกล้ามเนื้อ ซึ่งอะมิโนแอซิดคือสารอาหารที่จำเป็นที่สุดในการซ่อมแซมการอักเสบนี้ การทานโปรตีนที่มีอะมิโนแอซิดที่ครบถ้วนหลังออกกำลังกายจึงสำคัญอย่างมาก
การออกกำลังกายที่หนักสิ่งที่ร่างกายมักจะนำมาใช้เป็นพลังงานเพิ่มเติมนั้นคือไกลโคเจนซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อและตับเพื่อเป็นพลังงานสะสม ฉะนั้นหลังจากการออกกำลังไกลโคเจนในกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานจะถูกย่อยสลายไปจำนวนมากซึ่งจะส่งผลให้รู้สึกหมดแรง และหากไกลโคเจนไม่ถูกเติมเพียงพอการออกกำลังกายในครั้งถัดไปจะมีประสิทธิภาพต่ำลงอย่างแน่นอน
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ควรทำหลังออกกำลังกายนั้นไม่ได้ยุ่งยากและใช้เวลานานแต่สามารถลดโอกาสบาดเจ็บ ความเมื่อยล้า และยังช่วยให้ร่างกายพัฒนาได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ฉะนั้นหนหน้าที่คุณออกกำลังกายอย่าลืมทำ 4 อย่างนี้หละ
ด้วยความปราถนาดีจากอกไก่ผง Chicky Shake โปรตีน Organic 35 กรัม
มีข้อถกเถียงมากมายเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย บางคนทีมออกกำลังกายตอนเช้า บางคนทีมออกกำลังกายตอนเย็น วันนี้ OfficeMate มีข้อสรุปมาให้ว่าควรจะออกกำลังกายเวลาไหนถึงจะดีต่อร่างกายมากกว่า ไปดูกันเลย!
ออกกำลังกายตอนเช้า
การออกกำลังกายตอนเช้าจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นไปตลอดวัน โดยเฉพาะกับคนที่ชอบออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งที่สวนสาธารณะ (แต่ช่วงนี้ต้องระวังฝุ่นนิดนึงนะ) เพราะอากาศในตอนเช้าถือว่ามีมลพิษน้อย วิ่งไปฟังเพลงไป ได้รับวิตามินจากแดดยามเช้า และเมื่อร่างกายถูกกระตุ้น กล้ามเนื้อเริ่มทำงาน และมีการหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา จะให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้
นอกจากนั้น การออกกำลังกายตอนเช้ายังส่งผลให้ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงาน และดึงไขมันสะสมมาใช้ระหว่างวันได้เยอะขึ้น เหมาะสำหรับคนที่กำลังคุมน้ำหนักและลดไขมันในร่างกาย แนะนำให้ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอตอนเช้าตั้งแต่ 7.00-8.30 น. จะช่วยลดน้ำหนักและไขมันส่วนเกินได้ดี
ข้อควรระวังเมื่อออกกำลังกายตอนเช้า
หากต้องการออกกำลังกายในตอนเช้า โดยเฉพาะกับคนที่อยากออกกำลังกายก่อนไปทำงาน ซึ่งต้องตื่นเช้าขึ้นอีกเป็นชั่วโมง สิ่งสำคัญคือต้องนอนให้พอ ไม่อย่างนั้น จะรู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้น ทั้งยังเสี่ยงวูบ และทำให้การออกกำลังกายไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร สำหรับใครที่รู้สึกว่าไม่มีแรงจะลุกไปออกกำลังกายตอนเช้า แนะนำให้ทานขนมปัง หรือแครกเกอร์รองท้อง ให้ร่างกายมีน้ำตาล จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น และมีแรงออกกำลังกายค่ะ
ข้อควรระวังอีกหนึ่งอย่าง คือ อย่าลืมวอร์มร่างกายก่อนทุกครั้ง และควรวอร์มให้นาน เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เพราะตอนเช้าร่างกายอาจยังไม่ได้เตรียมพร้อมจะรับแรงกระแทกมากนัก หากออกกำลังกายหนักๆ หรือเริ่มด้วยการใช้แรงโดยไม่วอร์มอัพ ข้อต่อที่ยังไม่ยืดหยุ่น กล้ามเนื้อที่ยังไม่พร้อมอาจจะทำให้บาดเจ็บได้
ออกกำลังกายตอนเย็น
งานวิจัยบอกว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายตอนเย็น คือ ตั้งแต่ 15.00-21.00 น. เหมาะสำหรับการเข้าฟิตเนสไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพราะร่างกายได้รับพลังงานจากการทานอาหารมาตลอดทั้งวัน ใครอยากฟิตเพิ่มกล้าม แนะนำออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งตอนเย็น จะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังเสี่ยงต่อการบาดเจ็บน้อยกว่า
อีกหนึ่งข้อดีของการออกกำลังกายตอนเย็น ก็คือช่วยผ่อนคลายร่างกาย โดยเฉพาะกับชาวออฟฟิศที่นั่งทำงานหลังแข็งมาทั้งวัน การไปออกกำลังกายตอนเย็นช่วยให้กล้ามเนื้อได้ยืดเหยียด จะรู้สึกสบายตัวขึ้น นอกจากนั้น ฮอร์โมนเอนดอร์ฟินที่หลั่งออกมาระหว่างออกกำลังกาย ยังช่วยให้อารมณ์ดี และช่วยลดความเครียดที่สะสมมาทั้งวันได้อีกด้วย
ข้อควรระวังเมื่อออกกำลังกายตอนเย็น
การออกกำลังกายตอนเย็น แนะนำให้ออกก่อนถึงเวลาเข้านอน 4-6 ชั่วโมง เพราะฮอร์โมนต่างๆ ที่หลั่งออกมาระหว่างออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า และตื่นตัว หากออกกำลังกายดึกเกินไปอาจทำให้นอนหลับไม่สนิท หรือนอนไม่หลับได้
นอกจากนั้น สิ่งที่หลายคนมักจะทำคือการอดข้าวเย็น ซึ่งต้องบอกว่าผิดถนัด เพราะเมื่อออกกำลังกาย ร่างกายสูญเสียทั้งพลังงาน และมวลกล้ามเนื้อ หลังจากออกกำลังกายตอนเย็นเสร็จแล้ว จึงควรทานอาหารประเภทโปรตีน อย่างไข่ อกไก่ เพิ่มด้วยผักต่างๆ เพื่อให้ร่างกายได้นำอาหารเหล่านี้เข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไปจากการออกกำลงกาย หากงดข้าวเย็น แทนที่จะได้เพิ่มกล้ามเนื้อ กลับทำให้ร่างกายทรุดโทรมลง และอาจเข้าสู่โหมดจำศีล ลดการเผาผลาญเนื่องจากต้องเซฟพลังงานเก็บไว้ ซึ่งทำให้ในอนาคตจะลดไขมันยากขึ้นกว่าเดิม
สรุปแล้วออกกำลังกายตอนไหนดีกว่ากัน?
การออกกำลังกายตอนเช้า vs ตอนเย็น ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ควรเลือกช่วงเวลาที่รู้สึกว่าพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่มีภาระให้ต้องเร่งรีบ จะได้ออกกำลังกายได้เต็มที่และมีประสิทธิภาพ หรือจะเลือกตามความเหมาะสม เช่น ใครชอบคาร์ดิโอ อยากลดไขมัน ก็แนะนำให้ออกกำลังกายตอนเช้า ใครอยากเพิ่มกล้ามเนื้อ เสริมความอึดความทนทานให้ร่างกาย ก็อาจจะเลือกออกกำลังกายตอนเย็นก็ได้เช่นกัน
สิ่งที่สำคัญกว่าช่วงเวลา คือความสม่ำเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นทีมออกกำลังกายตอนเช้า หรือทีมออกกำลังกายตอนเย็น สิ่งที่สำคัญกว่า คือ ความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย ในหนึ่งสัปดาห์ ควรหาเวลามาออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 3-4 วัน วันละไม่น้อยกว่า 15-30 นาที โดยเฉพาะคนที่ต้องการคุมน้ำหนัก หรือลดไขมัน ถ้าจะให้เห็นผล ต้องออกกำลังกายครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป ร่างกายจึงจะเริ่มดึงไขมันที่สะสมไว้มาใช้ และควรทำควบคู่ไปกับการทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดของทอด ของมัน และของหวาน นอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำเปล่าให้มาก เท่านี้ก็ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และฟิตแอนด์เฟิร์มพร้อมสู้กับโรคภัยต่างๆ ได้แล้ว
สำหรับใครที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือปลีกตัวยาก แนะนำให้ออกกำลังกายจากกิจกรรมในชีวิตประจำวันแทน เช่น ขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์หรือบันไดเลื่อน เดินช้อปปิ้ง ทำงานบ้าน เดินไปซื้อข้าวกลางวัน แม้จะผลาญแคลอรี่ได้ไม่เยอะเท่า แต่ก็ช่วยให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน และเป็นการกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ดีขึ้นทีละนิดได้เช่นกัน
ไม่ได้ไปยิม ไม่ได้ออกไปวิ่ง ก็เข้ามาช้อปอุปกรณ์ออกกำลังกาย ไปออกกำลังกายเองที่บ้าน ที่เว็บไซต์ OfficeMate มีอุปกรณ์ออกกำลังกายให้เลือกมากมาย ทั้งเชือกกระโดด เสื่อโยคะ ดัมเบล ยางยืด ลู่วิ่งไฟฟ้า จักรยานไฟฟ้า และอื่นๆ อีกเพียบ แถมด้วยโปรโมชั่นเด็ดๆ ตลอดเดือน และบริการส่งฟรี เมื่อสั่งซื้อครบ 499 บาท คลิกเลย!
บทความแนะนำ!
ขอบคุณข้อมูลจาก
- www.samitivejhospitals.com
- www.lovefitt.com