หุ้น JMART เริ่มต้นธุรกิจจากร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อนทุน 2 ล้านบาท สู่อาณาจักร Holding Company แสนล้านบาท วันนี้พี่ทุยจะพาทุกคนมารู้จักกับหุ้น JMART ให้มากขึ้น ว่าปัจจุบันมีธุรกิจอะไรบ้าง จะมีความน่าสนใจเข้าไปลงทุนแค่ไหน วันนี้พี่ทุยได้สรุปพร้อมกับการวิเคราะห์มาให้นักลงทุนได้อ่านอย่างเข้าใจง่าย ๆ กัน
หุ้น JMART ทำอะไร
บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ “หุ้น JMART” มีสถานะเป็น Holding Company หรือประกอบธุรกิจลงทุนในธุรกิจอื่น
โดยธุรกิจของบริษัทส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลัก ได้แก่ การค้าปลีก การเงิน และเทคโนโลยี ครอบคลุมตั้งแต่การจำหน่ายและขายปลีกโทรศัพท์มือถือ ผลิตภัณฑ์ IT และเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการบริหารจัดการและเรียกเก็บหนี้ บริการทางการเงิน ร้านกาแฟและเทคโนโลยี โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ธุรกิจด้านค้าปลีก
เจ มาร์ท มีธุรกิจหลักคือ ธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริมและแกดเจ็ต โดยมีร้านค้ากว่า 200 แห่งทั่วประเทศ ภายใต้บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด มีพื้นที่ให้เช่าไอทีและห้างสรรพสินค้า 5 แห่ง ภายใต้บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J
นอกจากนี้ เจ มาร์ท ยังดำเนินธุรกิจ ร้านอาหาร และเครื่องดื่ม และร้านกาแฟ ภายใต้แบรนด์ Casa Lapin ภายใต้ชื่อ บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด
2. ธุรกิจด้านการเงิน
เจ มาร์ท ได้มุ่งเน้นไปที่การเงินรายย่อยสำหรับผู้บริโภค การติดตามและบริหารหนี้ที่ดำเนินการภายใต้ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำด้านการติดตาม และบริหารหนี้ของไทย
อีกทั้งยังมีธุรกิจการบริการด้านการเงินโดย บริษัท เคบีเจ แคปปิตอล จำกัด ที่ไม่ได้เพียงสินเชื่อเพื่อบริโภคเท่านั้น แต่รวมถึงธุรกิจประกันภัย ที่บริหารงานโดย บริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จำกัด (มหาชน) อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีบริษัทร่วมนั่นก็คือ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ซึ่งบริษัทถือหุ้นกว่า 26.1% โดยจากการขยายเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่ผ่านมา ปัจจุบัน ซิงเกอร์กลายเป็นหนึ่งในธุรกิจสนเชื่อเช่าซื้อที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าบ้าน และสินเชื่อรถยนต์ในประเทศไทย
4. ธุรกิจด้านเทคโนโลยี
บริษัทเจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC ประกอบธุรกิจพัฒนาซอฟท์แวร์ และลงทุนในบริษัท Started-up ที่มี ศักยภาพ มีพัฒนาการที่ชัดเจนในด้านการพัฒนาระบบ Decentralized Digital Lending Platform: DDLP ด้วยระบบ Blockchain
โดยในปี 2564 ที่ผ่าน JVC ได้ดำเนินการในเรื่องการทำ JFIN Adoption ซึ่งเป็นการนำเอา Utility Token JFIN เข้ามาใช้ในการร่วมทำโปรโมชั่นภายในกลุ่มบริษัท ซึ่งถือเป็นเคสตัวอย่างที่ได้ดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม
ผู้บริหารของ หุ้น JMART คือใคร
ปัจจุบัน คุณอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ดำรงตำแหน่งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART
คุณอดิศักดิ์คือผู้ก่อตั้งบริษัท เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2531 ผู้ปลุกปั้น JMART จากธุรกิจห้องแถวเล็ก ๆ ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อนแต่ตอนนี้ ได้ก้าวเข้าสู่การเป็น Holding Company เต็มตัวและมีมูลค่าบริษัทกว่าแสนล้านบาท
วิสัยทัศน์ ของ หุ้น JMART
สร้างสรรค์มูลค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้ที่มีส่วนได้เสียผ่านการลงทุนใน Synergy และเทคโนโลยี
พันธกิจ (Mission) ของ หุ้น JMART
- สร้างบรรยากาศในการทำานที่เต็มไปด้วยความสุข เพื่อความสุขในการทำงานของพนักงาน
- ให้คำมั่นสัญญาบนพื้นฐานของคุณธรรม ในการดำเนินธุรกิจและการกำกับดูแลกิจการที่ดี
- สร้างพันธมิตรและสร้างความร่วมมือในดำเนินธุรกิจ เพื่อเป้าหมายในการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจการเงิน
- มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจค้าปลีก สู่การการขยายตัวในอนาคต
- มุ่งเน้นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อการส่งมอบแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีคุณค่าที่มากขึ้นให้กับผู้บริโภค
โครงสร้างรายได้ ปี 2564
ในปี 2564 มีโครงสร้างรายได้มาจาก ธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือ 70.1% ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และสินเชื่อส่วนบุคคล 26.3% ธุรกิจบริหารพื้นที่ค้าปลีก 2.0% ธุรกิจประกันภัย 1.6%
ผลการดำเนินงานปี 2562 – 2564
หากพิจารณาผลประกอบการ ปี 2564 ที่ผ่านของแต่ละสายงานธุรกิจของ JMART ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกลุ่มบริษัทในการสร้างผลการดําเนินงานที่ดีได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 กำไรจากธุรกิจหลักในบริษัทลูกที่ JMART ถือหุ้นอยู่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
โดยกำไรของทั้ง JMT, SINGER, J-Mobile และ Jas Asset เร่งตัวขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีรายได้รวม 12,336 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,467 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2563 คิดเป็น 209% ซึ่งเป็นกําไรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
กลยุทธ์ของ หุ้น JMART
ในปี 2565 บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART วางกลยุทธ์ทรานส์ฟอร์มธุรกิจจาก Investment Holding Company เป็น Technology Investment Holding Company (T-IHC) อย่างเต็มรูปแบบ
โดยการขับเคลื่อนพลัง Synergy ผลักด้านการเติบโตแบบทวีคูณ ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและการเงิน ซึ่งมีเทคโนโลยีและบล็อกเชนและบิ๊กเดต้า เป็นหัวใจสำคัญ ด้วยการโฟกัสการสร้างแฟลตฟอร์ม 2 ด้าน คือ ทางด้านคอมเมิร์ซและไฟแนนซ์ ซึ่งถือเป็นโมเดลธุรกิจที่เข้าสู่จุดสมบูรณ์แบบและมีประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ที่แข็งแกร่ง
จุดแข็งของ หุ้น JMART
1. การขยายธุรกิจที่รวดเร็ว
เจ มาร์ท เป็นกลุ่มธุรกิจที่เน้นไปที่การสร้าง Synergy Ecosystem ของธุรกิจ Retail ในการเติบโต เจ มาร์ท มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 35 เท่า จากราคาเสนอขายต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดกว่า 7 หมื่นล้านบาท
2. ช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย
เจ มาร์ท มีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ทั้งหน้าร้านกว่า 200 สาขา มีตัวแทนของ Singer มากกว่า 4,000 คน และเรากำลังพัฒนาช่องทางการขายแบบ Synergy เพื่อเข้าหาผู้บริโภคในระดับจุลภาค
3. ธุรกิจที่มีจุดยืนในตลาดในอันดับต้นของประเทศ
เจ มาร์ท มีกลุ่มธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร และเป็นธุรกิจที่มีจุดยืนในตลาดในอันดับต้นของประเทศ ทั้งธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือ และธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยปัจจุบันมีพอร์ตการลงทุนในหนี้ด้อยคุณภาพเกือบ 2 แสนล้านบาท
4. พันธมิตรทางธุรกิจที่เข็มแข็ง
เจ มาร์ท มีพันธมิตรที่เข้มแข็งทั้งใน ธุรกิจมือถือที่เป็นพันธมิตรกับ AIS และธุรกิจการเงินที่เป็นพันธมิตรกับ KB Kookmin Card ซึ่งเป็นบริษัทการเงินอันดับต้น ๆ จากประเทศเกาหลีใต้ นอกเหนือจากนี้ยังเป็นพันธมิตรกับอีกหลากหลายธุรกิจ อาทิ BTS, VGI, และ GUNKUL เป็นต้น
อัตราส่วนทางการเงินของ หุ้น JMART
หากพิจารณาในงบ ปี 2564
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ 57.50 บาท ณ สิ้นปี 2564 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 ที่ราคาหุ้น ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 20.00 บาท เติบโตกว่า 187.5 % บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นและนักลงทุน จากโอกาสในการเติบโตในอนาคตแบบ Exponential Growth
ในส่วนของ ‘กำไรต่อหุ้น (EPS)’ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับงบปี 2563 โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 2.39 บาทต่อหุ้น จากงบปี 2563 อยู่ที่ 0.88 บาทต่อหุ้น สะท้อนถึงศักยภาพในการสร้างกำไรสูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นปีที่ 2 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และการใช้ Synergy ดำเนินธุรกิจร่วมกัน
P/BV Ratio มีค่าที่สูงกว่า 1 บ่งบอกถึงนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มในอนาคตว่า บริษัทฯ จะเติบโตจนมีกำไรสะสมกลับมา ช่วยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
P/E Ratio เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่ระดับ 71.81 เท่า บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต และเมื่อผลประกอบการในอนาคตออกมากำไรเพิ่มมากขึ้น P/E ของ JMART ก็จะลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมนั่นเอง
ในส่วนของ D/E Ratio อยู่ที่ระดับ 0.69 เท่า ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2563 ซึ่งเท่ากับ 2.83 เท่า บ่งบอกถึง การจัดโครงสร้างทุนอย่างเหมาะสมเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทและเสริมสร้างมูลค่าการถือหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต
ROA และ ROE ตามหลักการแล้วยิ่งสูงยิ่งถือว่า บริษัทนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากดูในงบปี 2564 แล้วพบว่า ทั้งสองอัตราส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของ หุ้น JMART
ในฐานะที่บริษัทเป็นโฮลดิ้งคอมพานี บริษัทมีเป้าหมายในการบริหารเงินลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด โดยในแต่ละส่วนธุรกิจมีเป้าหมายในการเติบโต ดังต่อไปนี้
1. ธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
อุปกรณ์เสริมและสินค้าเทคโนโลยีบริษัทมีนโยบายที่จะขยายส่วนแบ่งการตลาดในตลาดค้าปลีก เพื่อก้าวเป็นเป็นผู้นำในธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ อุปกรณ์เสริมและสินค้า Gadget ต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายส่วนแบ่งการตลาดโดยการสร้างยอดขายให้เติบโตขึ้นในสาขาที่มีอยู่ ควบคู่กับการขยายสาขา การใช้ช่องทางของบริษัทในกลุ่ม รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบร้านที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด
2. ธุรกิจบริหารพื้นที่ค้าปลีก
ดำเนินธุรกิจบริหารพื้นที่ในรูปแบบ IT Junction โดยขยายสาขาเพิ่มขึ้นโดยจะพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนและแผนการตลาดให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยเน้นพื้นที่ในกลุ่มห้างสรรพสินค้า ดิสเคาท์สโตร์ และคอมมูนิติ้มอลล์ที่มีพื้นที่ขาย แผนการตลาด และทำเลที่ตั้งเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าของสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่และสินค้าเทคโนโลยี
นอกจากนี้ เจเอเอสได้ขยายธุรกิจสู่ธุรกิจบริหารพื้นที่ในลักษณะอื่น ๆ เช่น Community Mall ห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กและตลาดสด หากธุรกิจดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุน
3. ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้
รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้สิน โดยมีแผนที่จะรักษายอดลูกหนี้ที่ติดตามจำนวน 20,000ล้านบาท โดยเน้นการขยายการให้บริการแก่ลูกค้าสถาบันการเงินเป็นหลัก ทั้งในกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่
4. ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ
ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารมากขึ้น โดยมีเป้าหมายระยะสั้นที่จะซื้อมูลหนี้เต็มจำนวนมาบริหารโดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี
5. ธุรกิจนายหน้าประกันภัย
ขยายการให้บริการด้านธุรกิจนายหน้าประกันภัย โดยมุ่งเน้นการให้บริการประกันวินาศภัย ผ่านการ ขยายช่องทางการทำการตลาดเพื่อตอบสนองกับลูกค้าภายในองค์กร และลูกค้าภายนอก ขยายช่องทางผ่านร้านโทรศัพท์มือถือเจมาร์ท สาขาต่าง ๆ และช่องทางออนไลน์
อนาคตของ หุ้น JMART จะเป็นอย่างไร มีประเด็นอะไรที่ต้องติดตาม ?
1. ขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจใหม่ เสริมรายได้ระยะยาว
JMART ไม่เคยหยุดที่จะมองหาโอกาสเติบโตใหม่ๆ บริษัทเผยอยู่ระหว่างศึกษาการขยาย ธุรกิจแบบInorganicมากกว่า 20โครงการในปีนี้ซึ่งอาจเป็นรูปแบบร่วมลงทุนหรือพันธมิตร ทางธุรกิจ โดยมีบางส่วนที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น JAYDEE(การรวมกลุ่มร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าใน ต่างจังหวัดหนุนธุรกิจเงินผ่อน-ค้าปลีก), จัดตั้งJSG(JMART50%,GUNKUL40%,SINGER 10%) เพื่อผลิตสินค้ากลุ่มsmartenergy และความร่วมมือกับ BRR ฯลฯ
2. การเปลี่ยนมือจากอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา สู่ลูกชายเอกชัย สุขุมวิทยา
อนาคตของ JMART จะเปลี่ยนไปอย่างไร เมื่อเปลี่ยนมือจากอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา สู่ลูกชาย เอกชัย สุขุมวิทยา ที่จะมารับไม้ต่อ และดูแลบริษัทหลังการเพิ่มทุนจากบีทีเอส ซึ่งเอกชัยเองก็นั่งเก้าอี้รองซีอีโอของ JMARTและทำงานร่วมกับอดิศักดิ์มาก่อนหน้าแปดปีแล้ว
3. ความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
บริษัทมีความเสี่ยงจากการที่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันในธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนไม่มากนักและมีโครงสร้างการดําเนินธุรกิจไม่ซับซ้อน ซึ่งผู้ที่เข้ามาแข่งขันอาจเป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ บริษัทที่จําหน่ายสินค้าในกลุ่ม IT หรือผู้ดําเนินธุรกิจเกี่ยวข้อง เช่น ผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ผู้ให้บริการเครือข่าย หรือ ผู้ให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก เป็นต้นทําให้บริษัทเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่สูงและอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการได้
4. เป้าหมายอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิทั้งกลุ่มมากกว่า 50%
เป้าหมายทางการเงินของกลุ่ม JMART ปี2565 จะต้องมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิมากกว่า 50% และจะเป็นการสร้างสถิติสูงสุดตลอดกาลต่อเนื่องจากปีก่อน โดยคาดการณ์ว่าการเติบโตของกลุ่มจะเป็นรูปแบบ J Curve หรือโตเป็นแนวตั้งแบบทวีคูณ (Exponential Growth)
มุมมองของโบรคเกอร์
Bualuang Securities: Earnings momentum แข็งแกร่ง จากทั้งบริษัทแม่และบริษัทลูก ยังคงมั่นใจต่อ ประมาณการกำไรปี 2565 ที่ 1.9 พันล้านบาท โดยเบื้องต้น ประเมิน กำไรหลักไตรมาส3 และ4 จะทำจุดสูงสุดใหม่ทุกไตรมาสที่ระดับการเติบโตเฉลี่ย 50-70% YoY ต่อไตรมาส (ข้อมูล ณ วันที่ 19 ส.ค. 2565)
Asia Plus Securities: ประมาณการกําไรปกติปี 2565-2566 ของ JMART ไว้ที่ 1.7 (+48%YoY) และ 2.2 พันล้านบาท (+29%YoY) ตามลําดับ เนื่องจากJMART ยังมีศักยภาพการ เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องไปในระยะยาว จากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
และยังมี upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการจากหลายโครงการ เช่น ธุรกิจการขายแผงโซล่าร์ รูฟท๊อป, การร่วมทุนกับผู้ประกอบการเครื่องใช้ไฟฟ้าท้องถิ่นตามหัวเมืองต่างๆ (JayDee) และความร่วมมือกับ BRR (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ส.ค. 2565)
Maybank Securities: ให้น้ำหนักต่อผลงอกเงยจากบริษัทในเครือ JMART จะเป็นแรงหนุนของการเติบโตกำไรปกติในปี 2565-2566 ที่ 2,082/2,989 ล้านบาท. +68/+44%YoY หรือ เฉลี่ย (CAGR) 42% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 2 ส.ค. 2565)
Nomura: ประมาณการกำไรปกติปี 2565 ที่2พันล้านบาท +70%YoY คงมุมมองเติบโตเด่นใน ครึ่งปีหลัง จากJMT/SINGER คงตำแหน่งหัวหอกของกลุ่ม คาดจะเป็นกำไรส่วนหลักกว่า 80% ของ JMART (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ส.ค. 2565)
สรุป
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ที่ผ่านมา JMART ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจากธุรกิจห้องแถวเล็ก ๆ ได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นอาณาจักรแสนล้านบาทในปัจจุบัน แม้ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 JMART กลับเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนจากผลประกอบการในปี 2564 ที่กำไรสุทธิ อยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท เติบโตกว่า 209%
โดยผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 2 ปี 2565 ทำกำไรสุทธิกว่า 389 ล้านบาท ส่วนรายได้อยู่ที่ 3,272 ล้านบาท โดยธุรกิจด้านการเงินยังคงเป็นไฮไลท์สำคัญในการเติบโต ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพของเจเอ็มทีสนับสนุนกำไรที่แข็งแกร่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
อนาคตหลังจากนี้ JMART จะมีแนวโน้มการขยายธุรกิจไปอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์การลงทุนแบบ Technology Investment Holding Company (T-IHC) และ Ecosystem ที่สนับสนุนโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อการเติบโตแบบ Exponential Growth