วีดิทศั น์ เรอ่ื ง การแกส้ มการกาลังหน่ึงตัวแปรเดยี ว วีดทิ ศั น์ เรื่อง การแกส้ มการกาลงั สองตัวแปรเดียว โดยวธิ ีแยกตวั ประกอบ
วีดิทศั น์ เร่ือง การแก้สมการกาลังสอง โดยวธิ ีทาเป็นกาลงั สองสมบรู ณ์ วดี ทิ ศั น์ เรอื่ ง การแกส้ มการกาลังสองตัวแปรเดียว โดยวธิ ีใชส้ ูตร
14
เร่ืองที่ 3 สมบัตกิ ารไม่เท่ากนั
ประโยคคณิตศำสตร์จะใชส้ ญั ลกั ษณ์ > , < , ≥ , ≤ , ≠ แทนกำรไม่เทำ่ กนั
บทนิยาม a < b หมำยถึง a นอ้ ยกวำ่ b a > b หมำยถึง a มำกกวำ่ b
กำหนดให้ a, b, c เป็นจำนวนจริงใด ๆ 1. สมบตั ิกำรถ่ำยทอด ถำ้ a > b และ b > c แลว้ a > c เช่น 8 > 5 และ 5 > 3 แลว้ 8 > 3 2. สมบตั ิกำรบวกดว้ ยจำนวนที่เทำ่ กนั ถำ้ a > b แลว้ a + c > b+ c เช่น 5 > 0 แลว้ 5 + 3 > 0 + 3 3. จำนวนจริงบวกและจำนวนจริงลบ a เป็นจำนวนจริงบวก กต็ ่อเม่ือ a > 0 เช่น 2 เป็ นจำนวนจริงบวกกต็ อ่ เมื่อ 2 > 0 a เป็นจำนวนจริงลบ กต็ ่อเม่ือ a < 0 เช่น -2 เป็ นจำนวนจริงลบกต็ ่อเมื่อ -2 < 0 4. สมบตั ิกำรคูณดว้ ยจำนวนเทำ่ กนั ที่ไม่เทำ่ กบั ศูนย์ กรณีท่ี 1 ถำ้ a > b และ c > 0 แลว้ ac > bc เช่น ถำ้ 5 > -3 แลว้ 5(2) > (-3)(2) หรือ 10 > -6 กรณีที่ 2 ถำ้ a > b และ c < 0 แลว้ ac < bc เช่น ถำ้ 5 > -3 แลว้ 5(-2) < (-3)(-2) หรือ -10 < 6 5. สมบตั ิกำรตดั ออกสำหรับกำรบวก ถำ้ a + c > b + c แลว้ a > b เช่น ถำ้ 5 + 2 > 3 + 2 แลว้ 5 > 3 6. สมบตั ิกำรตดั ออกสำหรับกำรคูณ กรณีที่ 1 ถำ้ ac > bc และ c > 0 แลว้ a > b เช่น ถำ้ 5(2) > (-3)(2) แลว้ 5 > -3 กรณีท่ี 2 ถำ้ ac > bc และ c < 0 แลว้ a < b เช่น ถำ้ (-3)(2) > 5(-2) แลว้ -3 < 5
บทนิยาม
a≤b หมำยถึง a นอ้ ยกวำ่ หรือเท่ำกบั b a≥b หมำยถึง a มำกกวำ่ หรือเท่ำกบั b a<b<c หมำยถึง a < b และ b < c a≤b≤c หมำยถึง a ≤ b และ b ≤ c
วีดิทัศน์ เรอ่ื ง สมบัติการไม่เทา่ กนั
15
ช่วง (Interval) ช่วง หมำยถึง กำรเขียนแทนเซตของจำนวนจริงที่เป็ นส่วนใดส่วนหน่ึงบนเส้นจำนวน เช่น กำร
เขียนแทนเซตของจำนวนจริงที่อยรู่ ะหวำ่ งจำนวนจริง a และ b ใดๆ หรือมำกกวำ่ หรือนอ้ ยกวำ่ จำนวนจริง a ใดๆ
3.1 ช่วงของจานวนจริง กำหนดให้ a, b เป็นจำนวนจริง และ a < b
1. ช่วงเปิ ด (a, b) (a, b) = { x | a < x < b }
2. ช่วงปิ ด [a, b] [a, b] = { x | a ≤ x ≤ b }
3. ช่วงคร่ึงเปิ ด (a, b] (a, b] = { x | a < x ≤ b }
4. ช่วงคร่ึงเปิ ด [a, b) [a, b) = { x | a ≤ x < b}
5. ช่วง (a, ∞) (a, ∞) = { x | x > a}
6. ช่วง [a, ∞) [a, ∞) = { x | x ≥ a}
7. ช่วง (-∞, a) (-∞, a) = { x | x < a} 8. ช่วง (-∞, a] (-∞, a] = { x | x ≤ a}
วีดทิ ัศน์ เรื่อง ชว่ ง
วีดิทศั น์ เรื่อง การแก้อสมการตวั แปรเดยี ว ดีกรีหน่งึ วดี ิทศั น์ เร่อื ง การแกอ้ สมการตัวแปรเดยี ว ดีกรสี อง
16
เร่ืองท่ี 4 ค่าสัมบูรณ์
คำ่ สัมบูรณ์ของจำนวนจริง หมำยถึง ระยะห่ำงจำกจุดศูนยบ์ นเส้นจำนวน พจิ ำรณำคำ่ สัมบูรณ์ของ 4 และ – 4
–6 –5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5 6
4 อยหู่ ่ำงจำก 0 เป็นระยะทำง 4 หน่วย ดงั น้นั ค่ำสัมบูรณ์ของ 4 คือ 4
– 4 อยหู่ ่ำงจำก 0 เป็นระยะทำง 4 หน่วย ดงั น้นั ค่ำสมั บูรณ์ของ – 4 คือ 4
น่ันคือ ค่าสัมบูรณ์ของจานวนจริงใด ๆ ต้องมีค่ามากกว่าหรือเท่ากบั ููนย์เสมอ
สญั ลกั ษณ์แทนคำ่ สัมบูรณ์คือ | | เช่น ค่ำสมั บูรณ์ของ 4 คือ |4|
คำ่ สัมบูรณ์ของ – 4 คือ |– 4|
บทนิยาม กาหนดให้ a เป็ นจานวนจริง
a เมอ่ื a 0 a 0 เมอื่ a 0
a เมอื่ a 0 4.1 สมบตั ขิ องค่าสัมบูรณ์
กาหนดให้ x, y เป็ นจานวนจริงใดๆ ตัวอย่าง
1. | x | = | -x | | 3 | = | -3 | = 3
2. | xy | = | x || y | | 3(-2) | = | 3 || -2 | = 6
3. x = x ;y≠0 10 = 10 =2 y y -5 -5
4. | x - y | = | y - x | | 10 - 3 | = | 3 – 10 | = 7
5. | x |2 = x2 | 5 |2 = 52 = 25
6. | x + y | ≤ | x | +| y | เช่น x = 2 y = 3 แลว้ | 2 + 3 | = | 2 | + | 3 | = 5 6.1 ถำ้ xy > 0 แลว้ | x + y | = | x | + | y |
6.2 ถำ้ xy < 0 แลว้ | x + y | < | x | + | y | เช่น x = 2 y = – 3 แลว้ | 2 + (– 3) | < | 2 | + |– 3|
1< 5
7. เม่ือ a เป็นจำนวนจริงบวก
| x | < a หมำยถึง – a < x < a | x | < 3 หมำยถึง – 3 < x < 3 | x | ≤ a หมำยถึง – a ≤ x ≤ a | x | ≤ 3 หมำยถึง – 3 ≤ x ≤ 3
8. เม่ือ a เป็นจำนวนจริงบวก | x | > 3 หมำยถึง x < – 3 หรือ x > 3 | x | > a หมำยถึง x < – a หรือ x > a | x | ≥ 3 หมำยถึง x ≤ – 3 หรือ x ≥ 3 | x | ≥ a หมำยถึง x ≤ – a หรือ x ≥ a
17
วดี ทิ ัศน์ เรือ่ ง คา่ สัมบรู ณ์ วดี ิทศั น์ เรือ่ ง คา่ สัมบรู ณแ์ ละการนาไปใช้ (การแกส้ มการ) วีดิทศั น์ เร่อื ง ค่าสมั บรู ณแ์ ละการนาไปใช้ (การแกอ้ สมการ)
18
กจิ กรรมบทที่ 1
แบบฝึ ดหดั ท่ี 1
จงเขียนแสดงช่วงตำ่ งๆ ที่แสดงบนเส้นจำนวนตอ่ ไปน้ี 1)
-1 0 1 2 3 4 5 6 7 8 ตอบ ...................................
- .................................. ตอบ -1 0 1 2 3 4 5 6 7 8 ................................... ..................................
- ตอบ ................................... -1 0 1 2 3 4 5 6 7 8 .................................. ตอบ
- ................................... .................................. -1 0 1 2 3 4 5 6 7 8 ตอบ ...................................
- .................................. ตอบ -1 0 1 2 3 4 5 6 7 8 ................................... .................................. 6)
-1 0 1 2 3 4 5 6 7 8
7)
-1 0 1 2 3 4 5 6 7 8 ตอบ ...................................
- .ต..อ...บ............................ ................................... -5 -4 -3 -2 -1 0 1 2 3 4 ..................................
ดูเฉลยกจิ กรรมท้ายเล่ม
19
บทท่ี 2
เลขยกกาลงั ทม่ี เี ลขชี้กาลงั เป็ นจานวนตรรกยะ
สาระสาคัญ 1. an อ่ำนวำ่ a ยกกำลงั n โดยมี a เป็นฐำน และ n เป็นเลขช้ีกำลงั 2. n a อ่ำนวำ่ กรณฑท์ ี่ n ของ a 3. จำนวนจริงท่ีอยใู่ นรูปเลขยกกำลงั ท่ีมีเลขช้ีกำลงั เป็นจำนวนตรรกยะจะมีควำมสมั พนั ธ์กบั จำนวนจริงที่อยใู่ นรูปของกรณฑห์ รือ รำก (root) ตำมควำมสมั พนั ธ์ดงั ตอ่ ไปน้ี n a = a 1n และ n am = amn 4. กำรบวก ลบ คูณ หำร จำนวนท่ีมีเลขช้ีกำลงั เป็นจำนวนตรรกยะโดยใชบ้ ทนิยำมกำรบวก ลบ คูณ หำร เลขยกกำลงั ของจำนวนเตม็
ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. อธิบำยควำมหมำยและบอกควำมแตกต่ำงของจำนวนตรรกยะและอตรรกยะได้ 2. อธิบำยเก่ียวกบั จำนวนจริงที่อยใู่ นรูปเลขยกกำลงั ท่ีมีเลขช้ีกำลงั เป็นจำนวนตรรกยะ และ จำนวนจริงในรูปกรณฑไ์ ด้ 3. อธิบำยควำมหมำยและหำผลลพั ธ์ท่ีเกิดจำกกำรบวก กำรลบ กำรคูณ กำรหำร จำนวนจริงท่ีอยู่ ในรูปเลขยกกำลงั ท่ีมีเลขช้ีกำลงั เป็นจำนวนตรรกยะ และจำนวนจริงในรูปกรณฑไ์ ด้
ขอบข่ายเนื้อหา เร่ืองท่ี 1 จำนวนตรรกยะและอตรรกยะ เร่ืองที่ 2 จำนวนจริงในรูปกรณฑ์ เร่ืองท่ี 3 กำรบวก กำรลบ กำรคูณ กำรหำร จำนวนท่ีมีเลขช้ีกำลงั เป็นจำนวนตรรกยะและ จำนวนจริงในรูปกรณฑ์
20
เร่ืองที่ 1
จานวนตรรกยะ และจานวนอตรรกยะ
1.1 จานวนตรรกยะ หมำยถึง จำนวนท่ีเขียนแทนในรูปเศษส่วน a เมื่อ a และ b เป็นจำนวนเตม็ b ท่ี b 0
จำนวนตรรกยะประกอบดว้ ย
- จำนวนเตม็ เช่น 5, 0, -2, -1 1 3 -2
- เศษส่วน เช่น 2 , 5 , 7
- ทศนิยมไม่รู้จบแบบซ้ำ เช่น 0.13• , 0.666...
1.2 จานวนอตรรกยะ หมำยถึง จำนวนที่ไมส่ ำมำรถเขียนใหอ้ ยใู่ นรูปเศษส่วน a เมื่อ a และ b b เป็นจำนวนเตม็ ที่ b 0
จำนวนอตรรกยะ ประกอบดว้ ย
- ทศนิยมไมร่ ู้จบแบบไมซ่ ้ำ เช่น 1.23546..., 3.01001000100001...
- สญั ลกั ษณ์ π , e ( π มีค่ำประมำณ 3.14285...)
- จำนวนในรูปกรณ์ท่ีถอดกรณ์ไม่ได้ เช่น 2 , 3 , 5 , ...
1.3 เลขยกกาลงั ทมี่ ีเลขชี้กาลงั เป็ นจานวนเต็ม
บทนิยาม เม่ือ a เป็นจำนวนใดๆ และ n เป็นจำนวนเตม็ บวก an = a × a × a × … × a
n ตวั
เรียก an วำ่ เลขยกกำลงั ที่มี a เป็น ฐำน และ n เป็นเลขช้ีกำลงั เช่น 54 = 5 5 5 5 = 625
กฎของเลขยกกาลงั
ถำ้ a,b เป็นจำนวนจริงโดยที่ m และ n เป็นจำนวนเตม็ บวก
กฎขอ้ ที่ 1 am ∙ bn = am + n เช่น 23 24 = 23 + 4
21
กฎขอ้ ท่ี 2 เม่ือ a 0
กฎขอ้ ท่ี 3 am =1 ถำ้ m n กฎขอ้ ที่ 4 an กฎขอ้ ท่ี 5 am an = am- n ถำ้ m n เช่น 25 = 25 - 3
am = 1 ถำ้ n m 23 an an-m am n = amn เช่น 32 1
35 35 2
เช่น (52)3 = 52 x 3
(ab)n = anbn เช่น (2 5)3 = 23 × 53
a n an เม่ือ b 0 เช่น 2 5 25 b bn 3 35
บทนิยาม เม่ือ a เป็นจำนวนจริง ที่ไม่เท่ำกบั ศูนย์ และ n เป็นจำนวนเตม็ บวกแลว้ a0 = 1 เม่ือ a ≠ 0 a-n = a1n เมื่อ a ≠ 0
วีดทิ ัศน์ เรอ่ื ง จานวนตรรกยะ และ อตรรกยะ
22
เรื่องที่ 2
จานวนจริงในรูปกรณฑ์
กำรเขียนเลขยกกำลงั เม่ือเลขช้ีกำลงั เป็นจำนวนตรรกยะสำมำรถทำไดโ้ ดยอำศยั ควำมรู้เรื่อง รำกท่ี n ของจำนวนจริง a และจำนวนจริงในรูปกรณ์ ( กรณ์ที่ n ของ a เขียนแทนดว้ ยสัญลกั ษณ์ n a ) และมีบทนิยำมดงั น้ี
บทนิยำม ให้ n เป็นจำนวนเตม็ บวกท่ีมำกกวำ่ 1 เม่ือ a และ b เป็นจำนวนจริง a เป็นรำกท่ี n ของ b ก็ต่อเม่ือ an b
พิจำรณำตวั อยำ่ งต่อไปน้ี ดงั น้นั 2 เป็ นรำกที่ 3 ของ 8 เน่ืองจำก 23 = 8 ดงั น้นั –2 เป็ นรำกที่ 5 ของ -32 เนื่องจำก (–2)5 = –32 ดงั น้นั 3 และ –3 เป็นรำกท่ี 2 ของ 9 เนื่องจำก 32 = 9 และ (–3)2 = 9
ตวั อย่างท่ี 1 จงหำค่ำของ 1) 4 16 , 2) 3 27 วธิ ีทา 1) 4 16 4 2 2 2 2 = 2
(หรือพิจำรณำ 16 = 24 ดงั น้นั 4 16 = 2)
- 3 27 3 (3) (3) (3) 3
(หรือพิจำรณำ (–3)3 = –27 ดงั น้นั 3 27 = –3 )
สมบตั ขิ องรากที่ n ของจานวนจริง
เม่ือ n เป็นจำนวนเตม็ บวกที่มำกกวำ่ 1 โดยที่ a และ b เป็นจำนวนจริงท่ีมีรำกท่ี n
1) n a n a เมื่อ n a เป็นจำนวนจริง เช่น ( 3)2 = 3
a เม่ือ a 0 เช่น 42 4, 3 53 5
- n an = a เม่ือ a 0 และ n เป็นจำนวนคี่ เช่น 3 (2)3 2
a เมื่อ a 0 และ n เป็นจำนวนคู่ เช่น (5)2 5 5
- n ab = n a n b เช่น 12 4 3 4 3 2 3
3 40 3 (8)(5) 3 8 3 5
2 3 5
- n a = n a , b0 เช่น 3 2 32 32 b n b 27 3 27 3
23
ตวั อยำ่ งที่ 2 จงเขียนจำนวนตอ่ ไปน้ีใหอ้ ยใู่ นรูปอยำ่ งง่ำย
- 200 2) 18 3) 3 24 4) 2 6 5) 3 16 3 81
วธิ ีทำ 1) 200 = 100 2 = 100 2 = 10 2
- 18 = 92 = 92 = 32
- 3 24 = 3 8.3 = 38 33 = 23 3
- 2 6 = 26 = 223 = 23 \= 3 16 81 = 3 24 34 = 63 6
- 3 16 3 18
วดี ทิ ัศน์ เรอ่ื ง สมบตั ริ ากที่ n ของจานวนจริง (สมบัติข้อท่ี 1) วดี ิทัศน์ เรอื่ ง สมบัติรากท่ี n ของจานวนจรงิ (สมบตั ขิ ้อที่ 2)
24
เร่ืองที่ 3 การบวก การลบ การคูณ การหาร จานวนทม่ี เี ลขชี้กาลงั เป็ นจานวนตรรกยะและจานวนจริงในรูปกรณฑ์
3.1 การบวก และการลบจานวนทอ่ี ย่ใู นรูปกรณฑ์
สมบตั ิของกำรบวกจำนวนจริง ขอ้ หน่ึงท่ีสำคญั และมีกำรใชม้ ำก คือ สมบตั ิกำรแจกแจงในกำร
บวก พจนค์ ลำ้ ย ดงั ตวั อยำ่ ง
- 3x 5x 3 5x 8x 2) 6a 2a 6 2a 4a
สมบตั ิของกำรแจกแจง สมบตั ิของกำรแจกแจง
ดว้ ยวธิ ีกำรเช่นน้ีเรำสำมำรถใชส้ มบตั ิกำรแจกแจงในเร่ืองกำรบวก กำรลบ ของจำนวนที่อยใู่ น
เครื่องหมำยกรณฑ์อนั ดบั เดียวกนั ท่ีเรียกวำ่ “พจน์คลำ้ ย”
ดงั น้นั 3 2 5 2 3 2 5 2 3 5 2 8 2
สมบตั ิกำรแจกแจง
ตวั อย่างท่ี 1 จงหาค่าของ 12 27 3 วธิ ีทำ 12 27 3 = 4 3 9 3 3
\= 2 33 3 3
\= 2 3 1 3
\= 43
ตวั อย่างที่ 2 จงหาค่าของ 20 45 125 วธิ ีทำ 20 45 125 = 4 5 9 5 25 5 \= 2 53 55 5 \= 2 3 5 5 \=0 5 \=0
วดี ิทัศน์ เรอื่ ง การบวก ลบจานวนทอี่ ย่ใู นรปู กรณฑ์
25
3.2 การคูณ และการหารจานวนทอี่ ย่ใู นรูปกรณฑ์
การคูณ จำกสมบตั ิขอ้ ที่ 3 ของรำกที่ n ท่ีกล่ำววำ่
n ab n a n b เมื่อ n a และ n b เป็นจำนวนจริง
√ a . n√ = n√ab
√2 . √2 = √2 × 2 = √22 = 2
√3 . √5 = √3 × 5 = √15
ตวั อยำ่ งที่ 1 จงหำผลคูณและตอบในรูปอยำ่ งง่ำย
- 2 33 5 = 2 33 5
- (3 8)(5 2) = (2 × 3) × (√3 × √5 )
\= 6√15
\= 3 85 2
\= (3 × 5)(√8 × √2)
\= 15 16
\= 154
- 23 653 4 = 60 \= 253 63 4
- 3 2 4 3 5 6 = (2 × 5) × (3√6 × 3√4) 6 \= 10 × 3√24
\= 10 × 3√8 × 3√3 \= 10 × 3√3
\= 203√3
\= 3 2 4 3 3 2 5
\= 12 6 15 12
\= 12 6 15 4 3
\= 12 6 30 3
การหาร
วธิ ีที่ 1 ใชส้ มบตั ิขอ้ 4 n a = n a เม่ือ b ≠ 0 n b b
เช่น 20 = 20 = 4=2 5 5
วธิ ีที่ 2 ใชส้ มบตั ิขอ้ 3 n ab = n a n b
เช่น 20 = 5 4 = 4 =2 5 5 วีดทิ ศั น์ เรอ่ื ง การหารจานวนทอี่ ยใู่ นรูปกรณฑ์
26
วธิ ีที่ 3 ใชส้ มบตั ิกำรคูณตวั เศษและกำรคูณตวั ส่วนดว้ ยจำนวนเดียวกนั
เช่น 20 = 20 5 = 100 = 10 =2 5 5 5 5 5
ตวั อยำ่ งท่ี 1 จงเขียนเศษส่วนตอ่ ไปน้ี โดยใหต้ วั ส่วนไมอ่ ยใู่ นรูปกรณฑ์
- 5 = 5 = 4 5 = 4 5 2 = 10 32 16 2 2 2 2 8
- 18 = 9 2 = 3 2 = 2 3 = 6 27 9 3 3 3 3 3 3
ตวั อยำ่ งท่ี 2 จงเขียนเศษส่วน 4 2 โดยใหต้ วั ส่วนไม่อยใู่ นรูปกรณฑ์ 5
วธิ ีทำ 4 4 2 =4 54 2 5 2= 5 2 5 2 = 4 5 2 3 5 52
NOTE : ตวั อยำ่ งที่ 2 อำศยั กำรแยกตวั ประกอบท่ีเรียกวำ่ ผลต่ำงกำลงั สอง
(a + b)(a - b) = a2 – b2
5 3 5 3 = 52 3 2 = 5 – 3 = 2
เครื่องหมำยตำ่ งกนั
วดี ทิ ศั น์ เร่ือง การคูณ หารจานวนทอ่ี ยู่ในรูปกรณฑ์ วีดทิ ัศน์ เรื่อง การหาคา่ จานวนจริงในรูปกรณฑ์
27
3.3 เลขยกกาลงั ทมี่ ีเลขชี้กาลงั เป็ นจานวนตรรกยะ
บทนิยาม เม่ือ a เป็นจำนวนจริง n เป็น จำนวนเตม็ ท่ีมำกกวำ่ 1 และ a มีรำกท่ี n จะไดว้ ำ่
1
an n a
พจิ ำรณำต่อไปน้ี 1 1
- 52 = 5 และ (52 )2 = 5
1 1
- 2 3 = 3 2 และ ( 2 3 )3 = 2
บทนิยาม ให้ a เป็ นจำนวนจริ ง m และ n เป็นจำนวนเตม็ ท่ี n > 1 และ m เป็นเศษส่วนอยำ่ งต่ำ n m1
จะไดว้ ำ่ a n = ( a n )m = ( n a )m m 1 (am ) n n am an
ตวั อยำ่ งที่ 2 จงหำค่ำของจำนวนตอ่ ไปน้ี
21 [ 3 8 ]2 = (2)2 = 4 [ 3 27 ]4 = (3)4 = 81
- 8 3 = [83 ]2 = [ 3 125 ]2 = (5)2 = 25 (2)3 = 8 41 [ 4 ]3 = = 253 25
- 27 3 = [ 273 ]4 = = 3 254
21
- 1253 = [1253 ]2 =
31
- 4 2 = [ 4 2 ]3 =
41
- 253 = [ 254 ]3
วดี ิทัศน์ เร่อื ง การบวก ลบ คณู และหารเลขยกกาลงั ทีม่ เี ลขชก้ี าลงั เป็นจานวนตรรกยะ
28
กจิ กรรมบทท่ี 2
แบบฝึ กหัดท่ี 1
1. จงหำวำ่ จำนวนท่ีกำหนดใหต้ อ่ ไปน้ี จำนวนใดเป็ นจำนวนตรรกยะ หรือจำนวนอตรรกยะ
- -4 6) 5
- 8 2
- 0.666...
- 2
- 2.020020002…
- π 9) 0
- -4.9 10) (3 - 3) π
2. จงทำใหอ้ ยใู่ นรูปอยำ่ งง่ำยและเลขช้ีกำลงั เป็นจำนวนเต็ม
- 2a3 4a5 6) 23 35
- 6b6 35 20
3b 1 7) 30 34 310
- (5a2)6 (3) 8
- (2ab-1)(ab2)-2
- (32)4 · 4-9
3 5) x y y2x 4
แบบฝึ กหดั ท่ี 2
1. จงหำค่ำของจำนวนจริงตอ่ ไปน้ี
- 16 2) 3 27 3) 3 8 4) 3 2 64
- 3 8
- 3 82 6) 4 16 27
- 3 24
- 3 125 27 2. จงเขียนจำนวนตอ่ ไปน้ีใหอ้ ยใู่ นรูปอยำ่ งง่ำย โดยใชส้ มบตั ิของ รำกที่ n
- 36 2) 3 8 3) 4
25 27 49
29
แบบฝึ กหัดท่ี 3
1. จงทำจำนวนต่อไปน้ีใหอ้ ยใู่ นรูปอยำ่ งง่ำย
- 2 3 5 3 2) 4 5 6 5 3) 33 7 53 7 4) 3 8 32
- 8 18 2 6) 20 45 80 7) 12 27 4 3 8) 53 54 23 16
2. จงหำผลคูณของแตล่ ะขอ้ ตอ่ ไปน้ี
- 6 12 2) 4 2 6 5 3) 2 3 2 4) 7 2 7 2
3. จงทำใหส้ ่วนของจำนวนตอ่ ไปน้ี ไม่ติดอยใู่ นรูปกรณฑ์
- 6 2) 8 3) 27 12 4) 3 3 3 3 32 3 2
ดูเฉลยกจิ กรรมท้ายเล่ม
30
บทท่ี 3 เซต
สาระสาคญั 1. เซต หมำยถึง กลุ่ม คน สัตว์ ส่ิงของ ที่รวมกนั เป็นกลุ่ม โดยมีสมบตั ิบำงอยำ่ งร่วมกนั และ บรรดำสิ่งท้งั หลำยที่อยใู่ นเซตเรียกวำ่ “ สมำชิก” ในกำรศึกษำเรื่องเซตจะประกอบไปดว้ ย ควำมหมำยของเซต ชนิดของเซต สบั เซต และ เอกภพสัมพทั ธ์ 2. กำรดำเนินกำรของเซต คือ กำรนำเซตต่ำง ๆ มำกระทำร่วมกนั เพ่อื ใหเ้ กิดเป็นเซตใหม่ ซ่ึงทำ ได้ 4 วธิ ีคือ ยเู นี่ยน อินเตอร์เซคชนั่ ผลตำ่ งระหวำ่ งเซต และคอมพลีเมนต์ 3. แผนภำพเวนน์ – ออยเลอร์ จะช่วยใหก้ ำรพจิ ำรณำเกี่ยวกบั เซตไดง้ ่ำยข้ึนโดยใชห้ ลกั กำรคือ 3.1 ใชร้ ูปสี่เหลี่ยมผนื ผำ้ แทนเอกภพสัมพทั ธ์ “U” 3.2 ใชว้ งกลมหรือวงรีแทนเซตต่ำง ๆ ท่ีเป็นสมำชิกของ “U” และเขียนภำยในส่ีเหลี่ยมผนื ผำ้
ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. อธิบำยควำมหมำยเกี่ยวกบั เซตได้ 2. สำมำรถหำยเู นี่ยน อินเตอร์เซกชน่ั ผลตำ่ งของเซต และคอมพลีเมนต์ ได้ 3. เขียนแผนภำพแทนเซตและนำไปใชแ้ กป้ ัญหำที่เก่ียวกบั กำรหำสมำชิกของเซตได้
ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 เซต เรื่องที่ 2 กำรดำเนินกำรของเซต เร่ืองท่ี 3 แผนภำพเวนน์ - ออยเลอร์และกำรแกป้ ัญหำ
31
เร่ืองท่ี 1
เซต (Sets)
1.1 ความหมายของเซต เซต หมำยถึง กลุ่มสิ่งของต่ำง ๆ ไมว่ ำ่ จะเป็น คน สัตว์ สิ่งของหรือนิพจน์ทำงคณิตศำสตร์ ซ่ึงระบุสมำชิกในกลุ่มได้ เช่น
- เซตของเดือนในหน่ึงปี
- เซตของพยญั ชนะในคำวำ่ “คุณธรรม”
- เซตของจำนวนเตม็ และเรียกส่ิงต่ำง ๆ ที่อยใู่ นเซตวำ่ “สมำชิก” ( Element ) ของเซตน้นั เช่น
- เดือนมีนำคมเป็ นสมำชิกเซตของเดือนในหน่ึงปี
- “ร” เป็นสมำชิกเซตของพยญั ชนะในคำวำ่ “คุณธรรม”
- 5 เป็นสมำชิกเซตของจำนวนเตม็
วดี ิทศั น์ เรือ่ ง ความหมายของเซต และการเขียนช่ือเซต
1.2 วธิ ีการเขียนเซต กำรเขียนเซตเขียนได้ 2 แบบ
1. แบบแจกแจงสมำชิกของเซต โดยเขียนสมำชิกทุกตวั ของเซตลงในเครื่องหมำยวงเล็บปี ก กำและใชเ้ คร่ืองหมำยจุลภำค (,) คนั่ ระหวำ่ งสมำชิกแต่ละตวั น้นั
ตวั อยำ่ ง A = {1, 2, 3, 4, 5} B = { a, e, i, o, u} C = {มกรำคม, กมุ ภำพนั ธ์, ..., ธนั วำคม}
2. แบบบอกเง่ือนไขของสมำชิกในเซต โดยใชต้ วั แปรแทนสมำชิกของเซต และบอกสมบตั ิ ของสมำชิกในรูปของตวั แปร
ตวั อยำ่ ง A = { x | x เป็นจำนวนเตม็ บวกท่ีมีค่ำนอ้ ยกวำ่ หรือเทำ่ กบั 5} B = { x | x เป็นสระในภำษำองั กฤษ} C = {x | x เป็นช่ือเดือนในหน่ึงปี } สญั ลกั ษณ์ | แทน คำวำ่ “ซ่ึง”
วีดทิ ศั น์ เรอ่ื ง ความหมายของเซต และการเขยี นชือ่ เซต
32
การเขียนชื่อเซต โดยทว่ั ๆ ไป กำรเขียนช่ือเซตหรือกำรเรียกช่ือของเซตจะใชต้ วั อกั ษรภำษำองั กฤษ
ตวั พิมพใ์ หญไ่ ดแ้ ก่ A , B , C , . . . , Y , Z ท้งั น้ีเพื่อควำมสะดวกในกำรอำ้ งอิงเม่ือเขียนหรือกล่ำวถึง เซตน้นั ๆ ต่อไป สำหรับสมำชิกในเซตจะเขียนโดยใชอ้ กั ษรภำษำองั กฤษตวั พมิ พเ์ ลก็ ไดแ้ ก่ a, b, c, …, y, z
สัญลกั ษณ์ ( Epsilon) แทนควำมหมำยวำ่ “อยใู่ น” หรือ “ เป็นสมำชิกของ” เช่น A = {2 , 3 , 4 , 8 , 10} 2 เป็นสมำชิกของ A เขียนแทนดว้ ย 2 A 10 เป็นสมำชิกของ A เขียนแทนดว้ ย 10 A ใชส้ ัญลกั ษณ์ แทนควำมหมำย “ไม่อยู่ หรือ “ไมเ่ ป็นสมำชิกของ” เช่น 5 ไม่เป็นสมำชิกของเซต A เขียนแทนดว้ ย 5 A 7 ไม่เป็นสมำชิกของเซต A เขียนแทนดว้ ย 7 A
ขอ้ สังเกต 1. กำรเรียงลำดบั ของแตล่ ะสมำชิกไม่ถือเป็นสิ่งสำคญั เช่น A = { a , b , c } B = {b,c,a} ถือวำ่ เซต A และเซต B เป็ นเซตเดียวกนั 2. กำรนบั จำนวนสมำชิกของเซต จำนวนสมำชิกท่ีเหมือนกนั จะนบั เพยี งคร้ังเดียว ถึงแมจ้ ะเขียนซ้ำ ๆ กนั หลำย ๆ คร้ัง เช่น A = { 0 , 1 , 2 , 1 , 3 } มีจำนวนสมำชิก 4 ตวั คือ 0 , 1 , 2 , 3 เป็ นตน้
1.3 ชนิดของเซต 1.3.1 เซตว่าง ( Empty Set or Null Set ) คือ เซตท่ีไม่มีสมำชิก ใชส้ ญั ลกั ษณ์
(อ่ำนวำ่ phi) หรือ { } แทนเซตวำ่ ง
ตวั อยำ่ ง A = { x | x เป็นช่ือทะเลทรำยในประเทศไทย } ดงั น้นั A เป็นเซตวำ่ ง เน่ืองจำกประเทศไทยไมม่ ีทะเลทรำย หรือ A = หรือ A = { }
ข้อสังเกต 1. เซตวำ่ งมีจำนวนสมำชิก เทำ่ กบั ศูนย์ ( ไมม่ ีสมำชิกเลย )
2. 0 Ø 3. { 0 } ไม่เป็นเซตวำ่ ง เพรำะมีจำนวนสมำชิก 1 ตวั
33
1.3.2 เซตจากดั ( Finite Set ) คือ เซตท่ีสำมำรถระบุจำนวนสมำชิกในเซตได้
จำนวนสมำชิกของเซต A เขียนแทนดว้ ย n(A)
ตวั อยำ่ ง A = { 1 , 2 , {3} } มีจำนวนสมำชิก 3 ตวั คือ 1, 2 และ {3} หรือ n(A) = 3
B = { x | x เป็นจำนวนเตม็ และ 1 ≤ x ≤ 10 } มีจำนวนสมำชิก 10 ตวั คือ 1, 2,
3, …, 10 หรือ n(B) = 10
C = { x | x เป็นจำนวนเตม็ ที่อยรู่ ะหวำ่ ง 0 กบั 1 } ดงั น้นั C เป็นเซตวำ่ ง
มีจำนวนสมำชิก 0 ตวั หรือ n(C) = 0
D = { x | x เป็นช่ือวนั ในหน่ึงสปั ดำห์ } มีจำนวนสมำชิก 7 ตวั หรือ n(E) = 7
1.3.3 เซตอนันต์ ( Infinite Set ) คือ เซตที่มีจำนวนสมำชิกไมจ่ ำกดั
นนั่ คือไม่สำมำรถบอกจำนวนสมำชิกได้
ตวั อยำ่ ง A = { -1 , -2 , -3 , … }
B = { x | x = 2n เม่ือ n เป็นจำนวนนบั }
C = { x | x เป็นจำนวนจริง }
T = { x | x เป็นจำนวนนบั }
ตัวอย่าง ใหบ้ อกวำ่ เซตตอ่ ไปน้ี เซตใดเป็ นเซตวำ่ ง เซตจำกดั หรือเซตอนนั ต์
เซต เซตว่าง เซตจากดั เซตอนันต์
1. เซตของผทู้ ่ีเรียนกำรศึกษำนอกโรงเรียน / / / ปี กำรศึกษำ 2552
2. เซตของจำนวนเตม็ บวกคี่
3. เซตของสระในภำษำไทย /
4. เซตของจำนวนเตม็ ที่หำรดว้ ย 10 ลงตวั
5. เซตของทะเลทรำยในประเทศไทย / /
วีดทิ ัศน์ เร่อื ง ชนดิ ของเซต
34
1.3.4 เซตทเี่ ท่ากนั ( Equal Set ) เซตสองเซตจะเท่ำกนั กต็ อ่ เม่ือท้งั สองเซตมีสมำชิกอยำ่ ง เดียวกนั และจำนวนเท่ำกนั เซต A เท่ำกบั เซต B เขียนแทน
ดว้ ย A = B A = B หมำยควำมวำ่ สมำชิกทุกตวั ของเซต A เป็นสมำชิกทุกตวั ของเซต B และสมำชิก ทุกตวั ของเซต B เป็นสมำชิกทุกตวั ของเซต A ถำ้ สมำชิกตวั ใดตวั หน่ึงของเซต A ไมเ่ ป็นสมำชิกของเซต B หรือสมำชิกตวั ใดตวั หน่ึงของเซต B ไม่เป็นสมำชิกของเซต A แสดงวำ่ เซต A ไมเ่ ทำ่ กบั เซต B เซต A ไม่เทำ่ กบั เซต B เขียนแทนดว้ ย A ≠ B ตวั อย่างท่ี 1 กำหนดให้ A = { 2 , 4 , 6 , 8 }
B = { x | x เป็นจำนวนเตม็ บวกคูท่ ี่นอ้ ยกวำ่ 10 } วธิ ีทา A = { 2 , 4 , 6 , 8 }
พจิ ำรณำ B เป็นจำนวนเตม็ บวกคู่ที่นอ้ ยกวำ่ 10
จะได้ B = {2,4,6,8} ดงั น้นั A=B ตัวอย่างที่ 2 A = { 0 , { 1,2 } } B = { 0, 1, 2} ดงั น้นั A≠B เพรำะ A มีสมำชิก 2 ตวั คือ 0 และ {1, 2} B มีสมำชิก 3 ตวั คือ 0, 1 และ 2 ตัวอย่างที่ 3 กำหนดให้ A = { 2 , 3 , 5 } , B = { 5 , 2 , 3 , 5 } และ C = { x | x2– 8x + 15 = 0 } วธิ ีทา พจิ ำรณำ x2 - 8x + 15 = 0
ดงั น้นั ( x – 3 ) (x – 5 ) = 0 แต่ x = 3,5
C = {3,5} A = B เพรำะ A และ B มีสมำชิก 3 ตวั คือ 2, 3, 5 เหมือนกนั A ≠ C เพรำะ 2 A แต่ 2 C B C เพรำะ 2 B แต่ 2 C
35
1.4 สับเซต เซต A เป็นสบั เซตของเซต B ก็ตอ่ เม่ือสมำชิกทุกตวั ของเซต A เป็นสมำชิกของเซต B ใชส้ ัญลกั ษณ์ แทนคำวำ่ “เป็นสบั เซตของ” ใชส้ ญั ลกั ษณ์ แทนคำวำ่ “ไมเ่ ป็นสบั เซตของ”
ตัวอย่าง A = {0, 1, 5} B = {0, 1, 2, 3, 4, 5}
A B เพรำะสมำชิกทุกตวั ของเซต A เป็นสมำชิกของเซต B B A เพรำะสมำชิกทุกตวั ของเซต B ไมเ่ ป็นสมำชิกของเซต A
ข้อสังเกต 1. เซตทุกเซตเป็ นสบั เซตของตวั มนั เอง นนั่ คือถำ้ เซต A เป็นเซตใดๆแลว้ A A 2. เซตวำ่ งเป็นสับเซตของทุกเซต นน่ั คือถำ้ เซต A เป็นเซตใดๆแลว้ { } A
วดี ิทศั น์ เรอื่ ง การเท่ากนั ของเซต และการเทียบเท่ากันของเซต
1.5 เอกภพสัมพนั ธ์ คือ เซตท่ีกำหนดข้ึนโดยมีขอ้ ตกลงกนั วำ่ จะไม่กล่ำวถึง สิ่งอ่ืนใด นอกเหนือไปจำกสมำชิกของเซตที่กำหนด ใชส้ ญั ลกั ษณ์ U แทน เอกภพสมั พทั ธ์ ตวั อยำ่ งท่ี 1 กำหนดให้ U เป็ นเซตของจำนวนจริง
และ A = x | x2 = 4 จงเขียนเซต A แบบแจกแจงสมำชิก ตอบ A = 2, -2 ตวั อยำ่ งที่ 2 กำหนดให้ U เป็ นเซตของจำนวนนบั และ A x | x2 = 4 จงเขียนเซต A แบบแจกแจงสมำชิก ตอบ A = 2 ข้อสังเกต ถำ้ ไมม่ ีกำรกำหนดเอกภพสัมพทั ธ์ ใหถ้ ือวำ่ เอกภพสมั พทั ธ์น้นั เป็นเซตของจำนวนจริง
วดี ทิ ัศน์ เร่อื ง การเทา่ กันของเซต และการเทียบเทา่ กนั ของเซต
36
เร่ืองท่ี 2
การดาเนินการของเซต
2.1 การยเู นียนของเซต ใชส้ ญั ลกั ษณ์ “ ”
A B = { x | x A x B } อำ่ นวำ่ A ยเู น่ียน B เท่ำกบั เชตของ x
ซ่ึง x อยใู่ น A หรือ x อยใู่ น B สัญลกั ษณ์ แทนคาว่า “หรือ”
ตัวอย่างที่ 1 ถำ้ A = {0 , 1 , 2 , 3} และ B = {1 , 3 , 5 , 7} จะได้ A B = {0 , 1 , 2 , 3 , 5 , 7}
ตวั อย่างท่ี 2 ถำ้ W = {a , s , d , f} และ Z = {p , k , b} จะได้ W Z = {a , s , d , f , p , k , b}
ตวั อย่างที่ 3 ถำ้ M = {x | x เป็นจำนวนเต็มบวก} และ L = {1 , 2 , 3 , 4} จะได้ M L = M
2.2 การอนิ เตอร์เซคชัน ใชส้ ญั ลกั ษณ์ “ ” A B = { x|x A xB } อ่ำนวำ่ A อินเตอร์เซค B เท่ำกบั เซตของ x ซ่ึง x อยู่
ใน A และ x อยใู่ น B สัญลกั ษณ์ หมายถงึ “และ”
ตวั อย่างที่ 1 ถำ้ A = {0 , 1 , 2 , 3} และ B = {1 , 3 , 5 , 7} ตัวอย่างที่ 2 ตัวอย่างท่ี 3 จะได้ A B = {1 , 3} ถำ้ W = {a , s , d , f} และ Z = {p , k , b}
จะได้ W Z = { }
ถำ้ M = {x | x เป็นจำนวนเต็มบวก} และ L = {1 , 2 , 3 , 4}
จะได้ M L = L
วีดิทัศน์ เรอ่ื ง การยูเนยี นของเซต วดี ิทัศน์ เร่ือง การอินเตอรเ์ ซคชันของเซต
37
2.3 คอมพลเี ม้นต์ของเซต ใชส้ ญั ลกั ษณ์ “ / ” ถำ้ U เป็นเอกภพสมั พทั ธ์ คอมพลีเมนตข์ อง A คือ เซตที่ประกอบดว้ ยสมำชิกที่อยใู่ น U แต่
ไมอ่ ยใู่ น A เขียน A แทนคอมพลีเมน้ ทข์ องเซต A ดงั น้นั A = { x | x A } ตัวอย่าง 1. ถำ้ U = {0, 1, 2, 3, 4, 5} และ A = {0 ,2} จะได้ = {1, 3,4, 5} ตัวอย่าง 2. ถำ้ U = {1, 2, 3, ... } และ C = { x|x เป็นจำนวนคู่} จะได้ = { x |x U และ x เป็นจำนวนค่ี }
วดี ิทศั น์ เร่อื ง คอมพลเี มนต์ของเซต
2.4 ผลต่างของเซต ใชส้ ัญลกั ษณ์ “ – ”
ผลต่ำงระหวำ่ งเซต A และเซต B คือ เซตที่ประกอบดว้ ยสมำชิกของเซต A ซ่ึงไมเ่ ป็น
สมำชิกของเซต B ผลต่ำงระหวำ่ งเซต A และ B เขียนแทนดว้ ย A – B
ดงั น้นั A - B = { x | x A x B } จะเหน็ ว่า A - B ≠ B - A
ตวั อย่าง 1. ถำ้ A = {0, 1, 2, 3, 4} และ B = {3 , 4 , 5 , 6 , 7}
จะได้ A - B = {0, 1, 2} และ B - A = {5 , 6 , 7}
ตวั อย่าง 2. ถำ้ U = {1, 2, 3, ... } และ C = { x|x เป็นจำนวนคู่บวก}
จะได้ U – C = {x|x เป็นจำนวนค่ีบวก}
วดี ิทศั น์ เรอื่ ง ผลต่างของเซต
38
เรื่องท่ี 3
แผนภาพเวนน์ - ออยเลอร์และการแก้ปัญหา
3.1 แผนภาพเวนน์ - ออยเลอร์ กำรเขียนแผนภำพแทนเซตช่วยใหเ้ ขำ้ ใจเกี่ยวกบั ควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ งเซตชดั เจนยงิ่ ข้ึน
กำรเขียนแผนภำพของเวนน์-ออยเลอร์ (Venn-Euler) เพอ่ื แสดงควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งเซต นิยมเขียนรูป สี่เหล่ียมมุมฉำกแทนเอกภพสมั พทั ธ์ (U) และใชร้ ูปวงกลม วงรี หรือรูปปิ ดใด ๆ แทนเซต A, B, C,… ซ่ึง เป็นสับเซตของ U
UA U
แผนภาพเอกภพสัมพนั ธ์ U แผนภาพแสดงเซต A เป็นสบั เซตของ A BU เองภพสัมพันธ์ U
A BU
แผนภาพแสดงเซต A และเซต B ซึ่งเป็นสับ แผนภาพแสดงเซต A และเซต B ซึ่งเปน็ สบั เซตของ U โดยเซต A และเซต B ไม่มสี มาชิก เซตของ U โดยเซต A และ เซต B มี ซา้ กันเลย สมาชกิ บางตวั ซ้ากนั
U A BU
B A
แผนภาพแสดงเซต A และเซต B ซ่งึ เป็นสบั แผนภาพแสดงเซต A และเซต B เซตของ U และ A B ซง่ึ ป็นสับเซตของ U และ A = B
39
ตัวอย่าง
A a de i BU จำกแผนภำพ c U = {a, b, c, …, n} b f ghl j m A = {a, b, c, d, e, f, g, h} B = {d, e, g, h, i, j, l} kC n C = {f, g, h, k, l}
ในท่ีน้ี เซต A และ B มีสมำชิกร่วมกนั คือ {d, e, g, h} เซต B และ C มีสมำชิกร่วมกนั คือ {g, h, l} เซต A และ C มีสมำชิกร่วมกนั คือ {f, g, h} เซต A, B และ C มีสมำชิกร่วมกนั คือ {g, h}
วดี ทิ ศั น์ เรือ่ ง แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์
3.1.1 ยูเนียน (Union) ยเู น่ียนของเซต A และ B คือเซตท่ีประกอบดว้ ย สมำชิกของเซต A หรือสมำชิกของเซต B หรือท้งั สองเซต เขียนแทนดว้ ยสัญลกั ษณ์ A B
เขียนแผนภำพเวนน์ – ออยเลอร์ แสดง A B ไดด้ งั น้ี
U U BU A
AB AB
(ส่วนท่ีแรเงำคือ A B )
3.1.2 อนิ เตอร์เซกชัน (intersection) อินเตอร์เชกชนั ของเซต A และ เซต B คือเซตท่ีประกอบดว้ ยสมำชิกท่ีอยรู่ ่วมกนั ท้งั เซต A และ เซต B เขียนแทนดว้ ยสัญลกั ษณ์ A B เขียนแผนภำพของแวนน์ – ออยเลอร์ แสดง A B ไดด้ งั น้ี
UU U
AB A AB B
(ส่วนท่ีแรเงำคือ A B )
40
3.1.3 คอมพลเี มนต์ (Complement) คอมพลีเมนตข์ องเซต A คือ เซตท่ีประกอบดว้ ยสมำชิกของเอกภพสัมพทั ธ์ (U) แต่ไม่เป็นสมำชิก ของ A เขียนแทนดว้ ยสัญลกั ษณ์ A (อ่ำนวำ่ เอไพรม)์ เขียนแผนภำพของเวนน์-ออยเลอร์แสดง A ได้ ดงั น้ี
U
A
(ส่วนท่ีแรเงำ คือ A)
3.1.4 ผลต่าง (Relative Complement or Difference) ผลตำ่ งของเซต A และ เซต B คือเซตที่ประกอบดว้ ยสมำชิกท่ีอยใู่ นเซต A แตไ่ ม่ไดอ้ ยใู่ นเซต B เขียนแทนดว้ ยสญั ลกั ษณ์ A – B ไดด้ งั น้ี เขียนแผนภำพของเวนน์-ออยเลอร์แสดง A – B ได้ ดงั น้ี
U B A U UA A BB
(ส่วนที่แรเงำ คือ A – B)
วีดิทศั น์ เรอ่ื ง การเขียนแผนภาพเวนน-์ ออยเลอร์ : ยเู นยี น วีดทิ ัศน์ เรอื่ ง การเขียนแผนภาพเวนน-์ ออยเลอร์ : อินเตอเซคชัน
วีดทิ ัศน์ เรอื่ ง การเขยี นแผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ : คอมพลีเมนต์ วดี ิทัศน์ เรอ่ื ง การเขยี นแผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ : ผลตา่ ง