หากใครสักคนเดินมาบอกคุณว่า “มันรู้สึกใจหวิวๆ วูบๆ อย่างบอกไม่ถูก”, “เหมือนตกจากที่สูง ตกจากสะพานบางครั้งก็รู้สึกวาบๆ สักพักก็หายไป” โปรดอย่าคิดไปไกล เขาอาจไม่ได้กำลังบอกรักหรือบอกชอบคุณ แต่เขาอาจกำลังมีอาการ “ใจสั่น” อยู่ก็ได้! แล้วอาการที่ว่านี้เป็นอย่างไร ร้ายแรงไหม จะรักษาได้อย่างไร ไปหาคำตอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจกันได้เลย
อาการใจสั่น เป็นอย่างไร?
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- โครงสร้างหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด พันธุกรรม
- กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ห้องหัวใจโต
- โรคลิ้นหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย
- ภาวะผิดปกติจากระบบอื่นๆ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ภาวะซีดเลือดจาง ความผิดปกติของเกลือแร่
- ความเครียด และสารเคมีบางชนิด เช่น ยา แอลกอฮอล์
หากคุณมีอาการใจสั่น ขอให้ลองสังเกตตนเองดังนี้
- อาการใจสั่นเกิดขึ้นทันทีทันใดหรือไม่ มีสิ่งใดเป็นตัวกระตุ้น
- อัตราการเต้นของหัวใจขณะที่มีอาการ เต้นประมาณกี่ครั้งต่อนาที เต้นสม่ำเสมอหรือไม่
- ตอนที่มีอาการมีการอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เช่น อาการเจ็บหน้าอก แน่นหายใจไม่ออก หรือว่าวูบเป็นลม หน้ามืด
- อาการเป็นอยู่ประมาณกี่นาที เป็นบ่อยแค่ไหน
- ตอนหายเป็นปกตินั้น อาการค่อยๆ ดีขึ้นหรือหายทันทีทันใดเลย มีสิ่งใดหรือทำอะไรแล้วอาการจะดีขึ้น
การตรวจวินิจฉัยอาการหัวใจสั่น
หากจะให้หาสาเหตุของอาการใจสั่น จำเป็นต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การทำอัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) การติดเครื่องติดตามการเต้นของหัวใจ 24 ชั่วโมง (Holter monitoring) การวิ่งสายพาน (Exercise stress test) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary angiogram) เพื่อประเมินภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือแม้กระทั่งการใส่อุปกรณ์พิเศษเข้าไปในห้องหัวใจ เพื่อประเมินและหาความผิดปกติ (Electrophysiology Study)
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้วิทยาการจะก้าวหน้าไปมาก แต่ประวัติที่ได้จากคนไข้และการตรวจร่างกายก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อยู่ดี บางครั้งลำพังเพียงประวัติคนไข้และข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงอย่างเดียวก็นำไปสู่การวินิจฉัยได้แล้ว
อาการใจสั่นที่เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ
อาการใจสั่นที่เกิดจากหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ อาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิดตามตำแหน่งที่เกิดขึ้น คือ
- หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะที่หัวใจห้องบน เกิดจากทางเดินของกระแสไฟฟ้าหัวใจเพิ่มขึ้นจากปกติ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรและไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วจากภาวะปกติ พบมากในคนสูงอายุ ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจบางชนิด เป็นต้น
- หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะที่หัวใจห้องล่าง เกิดจากความผิดพลาดของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่หัวใจห้องล่าง ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น เมื่อหัวใจเต้นเร็วมากก็ทำให้ไม่สามารถสูบฉีดไปยังส่วนต่างๆ ในร่างกายได้ เมื่อหัวใจเต้นเร็วเกินไปจะทำให้มีเวลารับเลือดไม่พอ และถ้าเต้นไม่สม่ำเสมอ จะทำให้ไม่สามารถบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาอาการใจสั่น
ผู้ป่วยหลายคนอาจกังวลว่า อาการใจสั่นจะรักษาได้ไหม? จริงๆ แล้วการรักษาอาการใจสั่นจะรักษาตามเหตุ โดยส่วนใหญ่หากมีอาการไม่มากก็มักจะหายไปได้เองโดยที่แพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุได้ ซึ่งกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องรักษา แต่แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ เช่น งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน หยุดสูบบุหรี่ หยุดใช้ยาที่มีสารกระตุ้นบางชนิด เช่น ยาแก้ไอ ยาแก้หวัด ใบกระท่อม น้ำมันกัญชา สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ผ่อนคลายความเครียดหรือความวิตกกังวลด้วยการออกกำลังกายที่ช่วยผ่อนคลาย หรือบำบัดด้วยวิธีอื่นๆ เช่น อะโรมาเทอราพี (Aromatherapy) ซึ่งหากหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นเหล่านี้ และปรับพฤติกรรมแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล แนะนำให้มาแพทย์เพื่อรักษาต่อไป
แต่หากแพทย์พบว่าสาเหตุของใจสั่นมาจากภาวะทางร่างกายหรือโรคประจำตัว แพทย์ก็จะรักษาและแก้ไขภาวะหรือโรคนั้นๆ รวมไปถึงขั้นตอนที่ใช้รักษาภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นกับหัวใจโดยตรง เช่น
หัวใจเต้นผิดจังหวะ คือ การที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามธรรมชาติ โดยอาจเต้นเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟฟ้าในหัวใจหรือเกิดไฟฟ้าลัดวงจรในห้องหัวใจ ทำให้การสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหลอดเลือดสมองอุดตันเพิ่มมากขึ้น
สาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติมีความแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย โดยการที่หัวใจจะเต้นเร็วหรือช้าลงขึ้นกับพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ประวัติสุขภาพ และปัจจัยแวดล้อมของผู้ป่วยแต่ละราย โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ได้แก่
- ความผิดปกติแต่กำเนิดหรือความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด ลิ้นหัวใจรั่ว ผนังหัวใจหนาผิดปกติ หลอดเลือดหัวใจตีบ
- ความผิดปกติของร่างกายที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ อิเล็กโทรไลต์ในร่างกายผิดปกติ
- ยาและสารบางชนิด เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของแอมเฟตามีน คาเฟอีนที่อยู่ในชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม
- ความเครียดและความวิตกกังวล
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมักไม่ทราบว่าตนเองมีปัญหา โดยมักพบภาวะนี้จากการตรวจสุขภาพหรือเมื่อป่วยด้วยโรคอื่นแล้วมาพบแพทย์ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปรากฏให้สังเกตได้ เช่น
- วิงเวียน
- หน้ามืด
- ตาลาย
- ใจสั่นบริเวณหน้าอก
- หายใจขัด
- เจ็บแน่นบริเวณหน้าอก
- เป็นลม หมดสติ
- การซักประวัติอย่างละเอียด เช่น การดื่มชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม โรคประจำตัวต่างๆ (เช่น เส้นเลือดหัวใจอุดตัน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือภาวะไทรอยด์)
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ในขณะที่มีอาการ
- การติดเครื่องบันทึกคลื่นหัวใจไว้ที่ตัวผู้ป่วยเป็นเวลา 24 หรือ 48 ชั่วโมง (Holter monitoring test) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการบ่อยแต่ไม่ได้เป็นตลอดเวลา
- การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะที่ผู้ป่วยออกกำลังกาย (exercise stress test; EST)
- การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (echocardiogram)
- การตรวจระบบการนำไฟฟ้าภายในหัวใจ (cardiac electrophysiology study)
การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แพทย์จะพิจารณาตามสาเหตุ อาการ ตำแหน่ง และความรุนแรงของโรค โดยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดอาจไม่ต้องทำการรักษา แต่ในบางชนิดที่ต้องทำการรักษาจะมีทางเลือกในการรักษา ดังนี้
- การใช้ยาควบคุมจังหวะของหัวใจ ซึ่งถึงแม้จะไม่ช่วยให้หายขาด แต่ก็ลดความถี่และความรุนแรงของการได้ โดยพบว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะหลายชนิดตอบสนองดีต่อการใช้ยา
- การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) เป็นการฝังเครื่องมือเล็กๆ ไว้ใต้ผิวหนังบริเวณกระดูกไหปลาร้า เพื่อตรวจจับจังหวะการเต้นของหัวใจ และสอดสายนำไฟฟ้าไปยังหัวใจเพื่อควบคุมและกระตุ้นให้หัวใจเต้นตามอัตราที่กำหนด
- การใช้ไฟฟ้ากระตุกเพื่อปรับการเต้นของหัวใจ (cardioversion) ใช้ในกรณีที่หัวใจเต้นเร็วเกินไป โดยแพทย์จะใช้กระแสไฟฟ้าจากเครื่องส่งภายนอกร่างกายซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นแปะที่หน้าอกของผู้ป่วยเพื่อปรับจังหวะการเต้นของหัวใจใหม่
- การใช้สายสวนเพื่อจี้กล้ามเนื้อหัวใจที่นำไฟฟ้าผิดปกติ (ablation therapy) วิธีนี้เป็นการรักษาที่ต้นเหตุซึ่งอาจช่วยให้ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดหายขาดได้ โดยเป็นวิธีการรักษาที่ต่อเนื่องจากการตรวจระบบการนำไฟฟ้าภายในหัวใจ เมื่อสอดสายสวนไปยังตำแหน่งที่เชื่อว่าน่าจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติ แพทย์จะปล่อยคลื่นวิทยุความถี่สูงเป็นจุดเล็กๆ เพื่อทำลายเนื้อเยื่อหัวใจที่เป็นสาเหตุของหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้น
- การฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ (implantable cardioverter defibrillator) เป็นการฝังเครื่องมือคล้ายกับเครื่องกระตุ้นหัวใจ ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงหัวใจห้องล่างเต้นผิดปกติ (ventricular fibrillation) ซึ่งอาจอันตรายต่อชีวิต โดยเมื่อหัวใจเต้นช้า เครื่องมือจะทำหน้าที่ในการกระตุ้นหัวใจ แต่เมื่อหัวใจเต้นเร็ว เครื่องมือจะปล่อยพลังงานไฟฟ้าในระดับที่เหมาะสมเพื่อกระตุกหัวใจให้กลับมาเต้นปกติทันที
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจไม่สามารถป้องกันได้เสมอไป แต่สามารถลดโอกาสเกิดให้น้อยลงได้ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความเครียด การสูบบุหรี่
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพและพบแพทย์สม่ำเสมอ
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง
คะแนนโหวต 9.20 of 10,จากจำนวนคนโหวต 349 คน
Related Health Blogs
อาการใหลตายคือกลุ่มอาการเสียชีวิตเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ (Sudden Unexplained Death Syndrome; SUDS) โดยผู้ป่วยจะเสียชีวิตเพราะหัวใจหยุดเต้นกระทันหันโดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ มาก่อน สร้างความสูญเสียให้กับหลายครอบครัวในทุกๆ ปี และอาการครั้งแรกที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้เสียชีวิตได้โดยไม่มีโอกาสครั้งที่สอง การป้องกันโรคนี้จะทำได้อย่างไรติดตามได้จากบทความนี้
โรคหัวใจสถาบันโรคหัวใจหัวใจเต้นผิดจังหวะ
อ่านเพิ่มเติม
การที่หัวใจของคนเราเต้นได้นั้น มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นก็คือระบบไฟฟ้าหัวใจ วิดีโอนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักระบบไฟฟ้าหัวใจกัน ติดตามได้เลย
หัวใจเต้นผิดจังหวะ
อ่านเพิ่มเติม
วิวัฒนาการทางการแพทย์ทำให้คนในปัจจุบันสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้สะดวกง่ายดายมากขึ้น แตสำหรับภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วหรือที่เรียกกันว่า Atrial Fibrillation หรือ AF หรือ A Fib โรคที่อาจไม่แสดงอาการ คนส่วนใหญ่มาพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ทำให้การรักษาอาจล่าช้าไป ทำให้ผู้ป่วยต้องทุพพลภาพตลอดชีวิตหรือเสียชีวิตฉับพลัน ใครคือกลุ่มเสี่ยง ทำอย่างไรให้รอดพ้นจากความสูญเสียนี้ได้ บทความนี้มีคำตอบค่ะ