เม็กซิโกยุคโบราณมีต้นกำเนิดถึง 8,000 ปีก่อนคริสตกาล และบริเวณนี้ถือเป็นหนึ่งในหกแหล่งกำเนิดของอารยธรรมสำคัญของโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคมีโซอเมริกาซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของชาวโอลเมก, อารยธรรมมายา, อารยธรรมปูเรเปชา, เตโอตีวากาน และ จักรวรรดิแอซเท็ก ซึ่งครอบครองบริเวณนี้ก่อนการมาถึงของชาวยุโรป ต่อมาใน ค.ศ. 1521 จักรวรรดิสเปนได้พิชิตและตั้งอาณานิคมในภูมิภาคนี้โดยมีฐานที่มั่นในเม็กซิโกซิตี และก่อตั้งเป็นอาณานิคมของสเปน ต่อมา คริสตจักรคาทอลิกได้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์และภาษาสเปน แต่ยังคงรักษาวัฒนธรรมพื้นเมืองเอาไว้ ประชากรพื้นเมืองถูกปราบปรามและถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างหนักจากการบังคับใช้แรงงานเพื่อขุดแร่โลหะที่มีค่าจำนวนมาก ซึ่งทำให้สเปนมีสถานะเป็นมหาอำนาจโลกต่อไปอีกสามศตวรรษ เมื่อเวลาผ่านไป เอกลักษณ์เฉพาะของเม็กซิโกได้ก่อตัวขึ้นจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมของยุโรปและชนเผ่าพื้นเมือง ต่อมา เม็กซิโกเป็นอิสระจากการปกครองของสเปนภายหลังได้รับชัยชนะในสงครามประกาศเอกราชเม็กซิโก
ประวัติศาสตร์ในยุคแรกของเม็กซิโกในฐานะรัฐชาติเต็มไปด้วยความวุ่นวายทางการเมือง เนื่องจากกลุ่มกบฎได้ก่อการปฏิวัติเท็กซัสและนำไปสู่สงครามเม็กซิโก-อเมริกันในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ทำให้เกิดความสูญเสียอาณาเขตอย่างใหญ่หลวงต่อสหรัฐอเมริกา การปฏิรูปเสรีนิยมได้รับการบันทึกอยู่ในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1857 ในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการพยายามรวบรวมชนเผ่าพื้นเมืองให้เป็นปึกแผ่นและมีการลดอำนาจของคริสตจักรและกองทัพลง สิ่งนี้ก่อให้เกิดสงครามภายในประเทศและการแทรกแซงของฝรั่งเศส ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ตั้งจักรพรรดิมัคซีมีลีอานที่ 1 แห่งเม็กซิโก เป็นจักรพรรดิต่อต้านการปกครองแบบสาธารณรัฐที่นำโดยเบนิโต ฮัวเรซ ในช่วงทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 ประเทศเม็กซิโกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการของ ปอร์ฟิริโอ ดิอัซ ประธานาธิบดีในขณะนั้น ซึ่งพยายามปรับปรุงเม็กซิโกให้ทันสมัยและฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย ต่อมาได้เกิดสงครามการปฏิวัติเม็กซิโกขึ้น โดยมีจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งมาจากการต่อต้านระบอบของดิอัซ สงครามได้กินเวลายาวนานกว่าทศวรรษ และคร่าชีวิตประชากรไปกว่า 10% และฝ่ายปฏิวัติซึ่งได้รับชัยชนะได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน ค.ศ. 1917 ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้มาจนถึงทุกวันนี้ นายพลของกองทัพคณะปฏิวัติได้ปกครองเม็กซิโกในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีจนกระทั่งเหตุการณ์การลอบสังหาร อัลบาโร โอเบรกอน ใน ค.ศ. 1928 นำไปสู่การก่อตั้งพรรคปฏิวัติ (PRI) เม็กซิโกเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองโดยถือฝ่ายสัมพันธมิตร พรรคปฏิวัติบริหารประเทศมาต่อเนื่องอีกหลายทศวรรษ ทว่าก็ได้รับเสียงวิจารณ์ในด้านความโปร่งใสและการใช้อำนาจโดยมิชอบ และได้นำนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมมาใช้ รวมถึงการทำความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือในทศวรรษ 1990 ก่อนจะแพ้การเลือกตั้งให้แก่พรรคอนุรักษ์นิยม (PAN) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 70 ปี ใน ค.ศ. 2000
เม็กซิโกเป็นประเทศกำลังพัฒนา โดยอยู่ในอันดับที่ 74 ในดัชนีการพัฒนามนุษย์ มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 15 ของโลกตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และเป็นอันดับที่ 11 ตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด จากการที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีประชากรมาก ส่งผลให้เม็กซิโกเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาคและระดับกลาง และมักถูกระบุว่าเป็นประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่ รวมทั้งเป็นรัฐอุตสาหกรรมใหม่ อย่างไรก็ตาม ประชากรส่วนใหญ่ยังต้องต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม ความยากจน และปัญหาอาชญากรรม โดยเม็กซิโกอยู่ในอันดับที่ต่ำจากการจัดอันดับประเทศที่มีความปลอดภัยของโลก ปัญหาหลักเกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและองค์กรค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของประชากรมากกว่า 120,000 คน นับตั้งแต่ ค.ศ. 2006
เม็กซิโกอยู่ในอันดับหนึ่งในทวีปอเมริกาและอันดับเจ็ดของโลกในแง่จำนวนมรดกโลกขององค์การยูเนสโก นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในสิบเจ็ดประเทศที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติของโลกมากที่สุดตั้งแต่ยุคโบราณ และเป็นอันดับที่ 5 ในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และจากการที่มีมรดกทางวัฒนธรรมและสภาพอากาศอันหลากหลาย ส่งผลให้เม็กซิโกเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยใน ค.ศ. 2018 เม็กซิโกมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับที่ 6 ของโลก (39 ล้านคน) เม็กซิโกเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ, กลุ่ม 20, องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา, องค์การการค้าโลก, ฟอรัมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก, องค์การนานารัฐอเมริกา, ประชาคมลาตินอเมริกา กลุ่มแคริบเบียน รวมทั้งองค์การรัฐไอบีโร-อเมริกา
ที่มาของชื่อประเทศ[แก้]
cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)