การเลิกทาส สำเร็จในสยามประเทศสำเร็จลุล่วงโดยดีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับทาสอย่างยายพัด หรือนางหนุ่ย ในละครเรื่องปลายจวัก จะเลิกทาส หรือไม่เลิกทาส ชีวิตของทั้งสองก็ยังคงดีดังเดิม เพราะเมื่อครั้งเป็นทาสก็ได้นายที่ดีอย่างคุณนายช้อยและคุณทองสำลี แต่สำหรับทาสคนอื่น ๆ ที่มีนายผู้ไร้ซึ่งความยุติธรรม ก็คงเป็นโชคดีมหาศาลกับพวกเขา กระแสในเรื่องการเลิกทาสนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผ่านการรับรู้ข่าวสารจากโลกภายนอก เช่น การเลิกทาสในสหรัฐอเมริกาโดยอับราฮัม ลินคอล์น เป็นผู้ปลดปล่อยทาสทั้งปวงให้เป็นไท รวมทั้งการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเล่าเรียนภาษาอังกฤษจากแหม่มแอนนา จึงได้รับแนวคิดเรื่องการเลิกทาสจากแหม่มผู้นี้ด้วยเช่นกัน นี่จึงกลายเป็นพระราชปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
สาเหตุใหญ่ ๆ แห่งการเลิกทาสนั้น นอกจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทยมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นที่สำคัญคือการเปลี่ยนสยามประเทศให้เท่าทันอารยประเทศ ประเทศมหาอำนาจจะได้ไม่หาเหตุมาล่าอาณานิคมสยามได้ รวมทั้งเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ต้องการแรงงานเสรีเพิ่มขึ้นอันเกิดจากสนธิสัญญาเบาว์ริง และสอดคล้องกับระบบการขยายงานของระบบบริหารราชการสมัยใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น
ดังนั้น ทันทีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติเมื่อมีพระชนมายุ 20 พรรษา ก็ทรงมีพระราชดำริที่จะเลิกทาสโดยปรึกษากับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนสำคัญในสมัยนั้นจากการประชุมปรึกษาถึงเรื่องพระราชปรารภแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงการเลิกทาส เพราะทั้งพระองค์และข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งปวงล้วนตระหนักเช่นเดียวกันว่าการเลิกทาสนั้นถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ต้องใช้เวลานานพอสมควร และกระทำด้วยวิธีอันละมุนละม่อม ใช้กุศโลบายในการผ่อนสั้นผ่อนยาว เพราะจากการศึกษาการเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการกระทำอย่างบุ่มบ่ามกะทันหัน จึงเป็นชนวนแห่งการอุบัติสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ การรบราฆ่าฟันกันเองของสหรัฐอเมริกาในครั้งนั้นทำให้เสียเลือดและเกิดความสูญเสียอย่างมหาศาลตามมา
ผลแห่งพระราชอุตสาหะและพระราชหฤทัยเย็นที่รอเวลาอันเหมาะสม ในที่สุดพระราโชบายการเลิกทาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็ได้รับการสนับสนุนมากขึ้นตามลำดับ และในที่สุดก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติทาส บังคับใช้ในราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2448 เป็นต้นไป ความสำคัญในพระราชบัญญัติดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
- ยกเลิกพิกัดเกษียณอายุทาส ให้บรรดาลูกทาสเป็นไทยทั้งหมด ผู้ที่เป็นทาสอยู่ให้ลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาทจนกว่าจะหมด ถ้ามีการเปลี่ยนนายเงิน ห้ามเพิ่มค่าตัวขึ้นอีก
- ห้ามซื้อขายทาสอีกต่อไป ผู้ฝ่าฝืนจะต้องรับโทษทางอาญา
- ประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญา ร.ศ.127 กำหนดโทษการซื้อขายทาสว่าเป็นความผิดต้องจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 100 บาท ถึง 1,000 บาท กฎหมายนี้จึงช่วยให้ทาสลดน้อยลงและหมดไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อทรงไม่โปรดให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้กับพสกนิกรชาวสยาม ด้วยพระราชหฤทัยอันแน่วแน่และพระราชอุตสาหะของพระองค์ จึงต้องใช้เวลาถึง 30 ปี กว่าทาสคนสุดท้ายจะได้รับการปลดปล่อยและจบสิ้นการมีทาสในสยามประเทศสมตามพระราชปณิธานที่ได้ทรงตั้งไว้ ไม่มีการต่อต้าน หรือเกิดสงคราม เพราะทุกฝ่ายต่างได้เตรียมตัวในเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี ทั้งนายที่กำลังจะขาดทาสก็ต้องเตรียมตัว ทั้งทาสที่กำลังจะเป็นไทก็ต้องเตรียมตัว หากเปรียบการเลิกทาสในสยามประเทศเป็นชัยชนะแห่งสยามก็ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ต้องทำการรบราฆ่าฟัน หรือสูญเสียเลือดเนื้อใด ๆ ทั้งสิ้น
ผลกระทบจากการเลิกทาสจึงเป็นไปในทิศทางที่ดีสมดังพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องน่าแปลกและน่าอัศจรรย์ใจคือเมื่อหลังจากการเลิกทาสในสยามประเทศ ทาสก็กลืนหายไปจากสังคม เพราะเมื่อผ่านไปหลายสิบปี ไม่มีการรับรู้ว่าประชาชนคนใดมีบรรพบุรุษเป็นทาส ต่างจากบางประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการเรียกกลุ่มคนที่เป็นทาส หรือมีบรรพบุรุษเป็นทาสว่า “เอตะฮินิง” ซึ่งแปลตามรากศัพท์ได้ว่า คนที่ไม่ใช่คน อันหมายถึงคนชั้นต่ำ หรือนอกชนชั้น แม้ประเทศญี่ปุ่นจะเลิกทาสตั้งแต่ยุคเมจิ แต่ในสมัยหลังพวกที่มีเชื้อสายเอตะฮินิงก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอยู่ดี ผู้คนตะขิดตะขวงว่าคนเหล่านี้มีบรรพบุรุษเป็นทาส ไปสมัครที่ใดก็ล้วนน่ารังเกียจ
ขณะที่ในประเทศไทย เมื่อไม่สามารถสืบต้นตอได้ว่าครอบครัวใดมีบรรพบุรุษเป็นทาสมาก่อน ทาสจึงหายไปจากสังคมไทยอย่างน่าอัศจรรย์ใจ พระราชกรณียกิจในครั้งนี้ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระพุทธเจ้าหลวง จึงถือได้ว่าสำเร็จลุล่วงโดยดี ไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้นตามมา ทาสหายไปจากบ้านเมือง ทุกคนล้วนเป็นอิสระกันถ้วนหน้า
ถึงแม้ว่าทาสจะหายไปจากสังคมไทยผ่านการปลดปล่อย หรือการเลิกทาสตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากความหมายของคำว่า “ทาส” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้อีกความหมายหนึ่งไว้คือ
วิธีทาครีม บำรุงผิวที่หลาย ๆ คนอาจจะรู้กันแล้ว คือ ต้องเรียงลำดับสกินแคร์ที่เนื้อบางเบาที่สุดไปหาสกินแคร์เนื้อที่หนักที่สุดเพื่อให้การทาครีมบำรุงผิวของเรามีประสิทธิภาพ แต่นอกจากนั้นเรายังมีเคล็ดลับและวิธีต่าง ๆ ที่สามารถช่วยให้ผิวของเรายกกระชับและแข็งแรงขึ้นได้ด้วย วิธีทาครีม ที่ถูกต้องนั่นเองค่ะ
วันนี้ All About You ก็ได้นำเทคนิค ตัวช่วยดี ๆ และ วิธีทาครีม แบบต่าง ๆ มาฝากทุกคนกัน เพื่อให้เราได้รับประโยชน์จากสกินแคร์แบบคุ้มค่าค่ะ
สเต็ปทาครีมบำรุงผิวขั้นพื้นฐาน
หลาย ๆ คนอาจจะมีความเข้าใจที่ว่ายิ่งทาครีมบำรุงผิวเยอะ ๆ ก็ยิ่งทำให้ผิวสวย สุขภาพดี แต่ที่จริงแล้วถ้าเราทาครีมบำรุงผิวข้ามสเต็ปและใช้สกินแคร์ที่มีความซ้ำซ้อนมากจนเกินไป อย่างเช่น ใช้สกินแคร์ที่เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ 2 ตัว ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามีความซ้ำซ้อนกันอยู่ ทำให้เราใช้สกินแคร์สิ้นเปลือง ผิวหนักหน้าเกินความจำเป็น เพราะฉะนั้นอย่าลืมเลือกใช้และดูคุณสมบัติของสกินแคร์ให้ดีกันก่อนนะคะทุกคน
มาถึงสเต็ปสกินแคร์ขั้นพื้นฐานที่เราควรใช้บำรุงผิวหน้ากันแล้วว่ามีอะไรบ้าง เพื่อน ๆ สามารถเช็กสกินแคร์ของตัวเองที่มีอยู่ได้เลยนะคะว่าเราใช้ถูกขั้นตอนมั้ยและมีสกินแคร์ตัวไหนบ้างที่เราควรใช้เพิ่มเพื่อการดูแลผิวอย่างเต็มที่ค่ะ
ขั้นตอนที่ 1 Cleansing (คลีนซิ่ง)
ตัวช่วยเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกตกค้างให้สะอาดหมดจด ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะถ้าล้างหน้าไม่สะอาดอาจจะทำให้เกิดสิว ผิวระคายเคืองได้ค่ะ ซึ่งคลีนซิ่งมีหลากหลายเนื้อสัมผัสให้เราเลือกใช้ไม่ว่าจะเนื้ออยล์ เนื้อน้ำนม เนื้อครีมหรือที่เป็นไมเซล่า สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวได้เลยค่ะ
ขั้นตอนที่ 2 Toner (โทนเนอร์)
โทนเนอร์เป็นตัวช่วยเช็ดทำความสะอาดผิวพร้อมบำรุง ด้วยสารสกัดต่าง ๆ ที่อุดมอยู่ในโทนเนอร์ จะช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง กระชับรูขุมขนและเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวค่ะ
ขั้นตอนที่ 3 Eye Serum (เซรั่มบำรุงผิวรอบดวงตา)
ผิวรอบดวงตาเป็นส่วนที่บอบบาง ระคายเคืองง่ายและเกิดริ้วรอยได้ง่ายด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นสกินแคร์ที่จะดูแลผิวรอบดวงตาได้นั้นจะต้องเข้มข้นและอ่อนโยนค่ะ
ขั้นตอนที่ 4 Serum (เซรั่ม)
เซรั่มเป็นตัวช่วยฟื้นบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก สามารถเลือกใช้โดยเน้นสารสกัด Active Ingredient ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวของเราได้อย่างตรงจุด เช่น มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส แนะนำให้ใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี ผิวมีปัญหาสิว ผิวอักเสบ แนะนำให้ใช้เซรั่มที่สกัดมาจาก Centella Asiatica เพราะจะช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบได้อย่างดีค่ะ
ขั้นตอนที่ 5 Moisturizer (มอยส์เจอร์ไรเซอร์)
สิ่งที่ต้องเติมให้ผิวอย่างสม่ำเสมอนั่นก็คือ ความชุ่มชื้น ค่ะ เพราะความชุ่มชื้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผิวเสียสมดุล ถ้าผิวขาดความชุ่มชื้นจะทำให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ง่าย ผิวผลิตน้ำมันออกมามากจนเกินไป จนทำให้ผิวมันแต่ขาดน้ำและเกิดสิวขึ้นได้นั่นเองค่ะ
ขั้นตอนที่ 6 Sunscreen (ครีมกันแดด)
ครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในขั้นตอนดูแลผิวเลยก็ว่าได้ เพราะแสงแดดเป็นสิ่งที่ทำร้ายผิวของเรามาก ไม่ว่าจะทำให้ผิวมีริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ สิว ผิวแพ้ง่าย เพราะฉะนั้นการทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ต้องทาในปริมาณที่เหมาะสมจึงจะสามารถป้องกันแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้องก็คือทาปริมาณ 2 ข้อนิ้ว หรือประมาณเหรียญสิบนั่นเองค่ะ
ทาครีมบำรุงผิวแต่ละตัว ต้องเว้นห่างกันกี่นาที ?
ระยะห่างในการทาสกินแคร์จริง ๆ แล้วไม่มีเวลาตายตัวค่ะ แต่ก่อนที่เราจะทาครีมบำรุงผิวในขั้นตอนต่อ ๆ ไปต้องรอให้สกินแคร์ที่เราทาไปก่อนหน้านี้แห้งและซึมเข้าผิวก่อนค่ะ เพียงเท่านี้เราก็สามารถทาครีมบำรุงผิวในขั้นตอนต่อไปได้แล้ว แต่ในยุคนี้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์แต่ละตัวก็มีเทคโนโลยีแบละนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาช่วยให้เนื้อสกินแคร์ซึมเข้าผิวได้ล้ำลึก ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ทำให้เราไม่ต้องรอนานหรือเสียเวลาในขั้นตอนทาครีมบำรุงผิวกันแล้วค่ะ
เทคนิคทาครีมบำรุง ช่วยยกกระชับผิว
มาถึงขั้นตอนวิธีทาครีมบำรุงผิวกันแล้วค่ะ ที่เรานำมาแชร์ในวันนี้เป็นวิธีทาครีมบำรุงผิวที่ถูกต้อง ช่วยยกกระชับผิวและช่วยให้สกินแคร์ซึมเข้าผิวได้ดี ทำให้ประสิทธิภาพของสกินแคร์ทำงานได้อย่างเต็มที่ค่ะ เดี๋ยวเราไปดูวิธีทาครีมบำรุงผิวหน้าแต่ละส่วนกันนะคะ ว่าแต่ละส่วนของใบหน้ามีวิธีทาครีมบำรุงผิวยังไงบ้าง
บริเวณหน้าผาก
ใช้นิ้วนางค่อย ๆ เกลี่ยเนื้อสกินแคร์จากล่างขึ้นบนตามลูกศร วิธีนี้จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยบริเวณหน้าผากได้
ผิวรอบดวงตา
ใช้นิ้วนางค่อย ๆ กดและแตะเบา ๆ ไล่จากบริเวณหัวตาไปหางตา
บริเวณร่องแก้ม
ใช้นิ้วนางค่อย ๆ กดและทาสกินแคร์อย่างเบามือที่บริเวณร่องแก้ม โดยไล่จากด้านบนลงมาด้านล่าง
บริเวณแก้ม
ใช้นิ้วนางทาครีมบริเวณแก้มโดยไล่จากด้านล่างขึ้นด้านบนไปทางโหนกแก้ม วิธีทาครีมแบบนี้จะช่วยยกกระชับให้ผิวแก้มไม่หย่อนคล้อยได้ด้วยค่ะ
บริเวณคอ
ผิวบริเวณคอเป็นส่วนสำคัญที่ทุกคนต้องดูแลเช่นกันนะคะ เพราะถึงแม้ว่าผิวหน้าจะดีแค่ไหนแต่ถ้าคอเหี่ยวขึ้นมาแล้วจะดูแก่ก่อนวัยขึ้นทันทีค่ะ ส่วนวิธีทาครีมบริเวณผิวคอก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่ทาไล่จากด้านล่างขึ้นด้านบน เพียงเท่านี้ก็สามารถชะลอริ้วรอยผิวบริเวณคอได้แล้วค่ะ
สครับผิวหน้าเพื่อให้ผิวพร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป
การใช้สครับผลัดเซลล์ผิวหน้าเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำค่ะ แต่แอดต้องบอกก่อนว่าห้ามสครับบ่อยเกินไปนะคะ ถ้าสครับบ่อยเกินไปแทนที่เราจะได้ประโยชน์กลับได้โทษมาแทน เพราะสครับสามารถทำให้ผิวบางได้ถ้าเราใช้ถี่จนเกินไปและถ้าเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เม็ดสครับใหญ่จะทำให้บาดผิวได้นั่นเองค่ะ
การสครับผิวหน้าจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพราะถ้าเราไม่ผลัดเซลล์ผิวจะทำให้เกิดการสะสมจนทำให้ทาครีมบำรุงผิวอะไรไปก็ไม่ซึม สกินแคร์ทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นสครับยังช่วยขจัดสิ่งสกปรกตกค้างที่อยู่บนผิวได้อีกด้วยค่ะ วันนี้ทางเราก็มีสครับมาแนะนำเพื่อน ๆ ถึง 2 แบรนด์ด้วยกันบอกเลยว่าใช้แล้วผิวสะอาด พร้อมรับการบำรุงแน่นอนค่ะ
Huxley Scrub Mask Sweet Therapy
สครับผลัดเซลล์ผิว ช่วยชำระสิ่งสกปรกตกค้างบนผิวให้สะอาดหมดจด พร้อมปรับผิวให้กระจ่างใสด้วยสารสกัดธรรมชาติ เช่น รังบวบ เปลือกวอลนัทและน้ำตาลทรายขาว
TREE ON TREE Jasmine Rice Moisturizing Scrub Mask
สครับผิวหน้าสูตรอ่อนโยน ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ทำความสะอาดได้ลึกถึงรูขุมขนและคงความชุ่มชื้นให้ผิว เหมาะมากสำหรับผู้ที่เป็นสิว ผิวแพ้ง่าย เพราะตัวสครับสกัดมาจากธรรมชาติอย่างข้าวหอมมะลิและน้ำมันรำข้าวค่ะ
ตัวช่วยเสริมช่วยให้การทาครีมบำรุงผิวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากจะมีเทคนิคดี ๆ ในการทาครีมบำรุงผิวแล้วเรายังมีตัวช่วยเสริม ที่จะทำให้การทาครีมบำรุงผิวล้ำลึกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ ซึ่งที่เรานำมาแนะนำวันนี้คือ CBG Devices 4 in1 Skin Reborn บอกเลยว่าตัวนี้ใช้ได้ทั้งทำความสะอาด เช็ดเครื่องสำอาง ผลักครีมเข้าผิวและยังมีโหมดแสงบำบัดที่ตัวเครื่องจะปล่อยแสงช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงค่ะ
เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน ได้รู้ วิธีทาครีม บำรุงผิวที่ถูกต้องแล้วลองนำไปปรับใช้กันดูนะคะ บอกเลยว่า วิธีทาครีม บำรุงผิวที่เรานำมาแนะนำในวันนี้ เป็น วิธีทาครีม บำรุงผิวที่จะทำให้สกินแคร์บำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ๆ สำหรับใครที่สนใจไอเทมเด็ดต่าง ๆ หรือสกินแคร์ที่เรานำมาฝากในวันนี้สามารถไปช้อปกันต่อได้ที่ All About You นะคะ มีให้เลือกช้อปทั้งสาขาหน้าร้านและออนไลน์ ใครสะดวกแบบไหนก็ไปช้อปกันได้เลยน้า