เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือวิกฤตต่าง ๆ เช่น ตกงาน รายได้ลดลง หนี้สินพอกพูน กระทบต่อฐานะการเงิน จ่ายหนี้ที่มีอยู่ไม่ไหว นอกจากควรติดต่อสถาบันการเงินเพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เราจ่ายคืนได้ด้วยรายได้ที่ลดลงแล้ว หากเรามีทรัพย์สินหรือหลักประกัน ก็อาจเลือกมาเป็นตัวช่วยในการชำระหนี้ เพราะเป็นวิธีแก้ปัญหาหนี้ที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนได้ง่ายและรวดเร็ว
เช่น มีหนี้ค้างชำระที่อาจกลายเป็นหนี้เสีย หรือเมื่อเราต้องการโปะหรือปิดหนี้ที่ยอดคงเหลือน้อยหรือหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง เพื่อลดโอกาสที่จะจ่ายหนี้ไม่ไหว อันจะนำไปสู่ปัญหาหนี้สินที่แก้ไขยากขึ้นในอนาคต โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 สำรวจภาระหนี้
สิ่งแรกในการเริ่มต้นแก้ปัญหาหนี้ ขอแนะนำให้เริ่มจากการสำรวจหนี้สินที่เรามีอยู่ทั้งหมดขณะนี้ว่ามีหนี้ประเภทใดบ้าง หนี้มีหลักประกันหรือไม่ ถ้ามีคืออะไร เจ้าหนี้มีกี่ราย ใครบ้าง อัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่ ยอดหนี้คงเหลือ ยอดผ่อนต่อเดือนเป็นเท่าใด สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ เช่น จ่ายเต็มจำนวน จ่ายขั้นต่ำ ค้างชำระมาแล้วกี่เดือน ก็เพิ่มช่องข้อมูลได้อีกหรือใส่ในหมายเหตุ เพื่อให้สามารถคิดและตัดสินได้ว่าหนี้สินที่มีอยู่ในตอนนี้ ก้อนไหนที่เป็นปัญหาแล้วหรือจะเป็นปัญหาในอนาคต เพื่อที่จะได้เรียงลำดับความเร่งด่วนของปัญหาและลงมือแก้ไขได้อย่างตรงจุดและทันกาล
ขั้นตอนที่ 2 สำรวจทรัพย์สินที่สามารถขายได้
แม้รายได้จะลดหรือขาดรายได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสิ้นหนทางในการหาเงินมาชำระหนี้เสมอไป การสำรวจทรัพย์สินที่เรามีทั้งหมดจะช่วยให้รู้ว่าตอนนี้เรามีทรัพย์สินประเภทใดบ้าง คาดว่าจะขายได้เท่าไหร่ แหล่งที่สามารถขายได้คือที่ใดบ้าง (สำหรับ 2 อย่างหลังเราควรหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือประกอบด้วยเพื่อให้รู้จำนวนเงินคร่าว ๆ ที่เราควรจะได้ และเจอกับผู้ซื้อที่ไว้ใจได้) เพื่อประเมินว่าเราจะมีเงินมาจ่ายหนี้รวมทั้งหมดเท่าไหร่ และหนี้สินจะลดลงมาอยู่ในระดับที่รายได้ปัจจุบันที่เราจะจ่ายไหวในแต่ละเดือนหรือไม่
ขั้นตอนที่ 3 ลงมือแก้ไขหนี้
วิธีการแก้ไขหนี้ด้วยทรัพย์สินแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบตามประเภทของสินเชื่อ ดังนี้
1. สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ไม่ว่าจะเป็นหนี้นอกระบบ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งล้วนแต่มีอัตราดอกเบี้ยสูง เป็นภาระในการผ่อนชำระอย่างมาก และมักบั่นทอนความสามารถในการชำระหนี้ของเราภายในเวลาไม่นานนัก ซึ่งหากเริ่มผ่อนไม่ไหว และต้องการปิดหนี้เหล่านี้โดยเร็ว ให้ขายทรัพย์สินที่มีมาปิดหนี้ หรือชำระหนี้บางส่วนเพื่อลดภาระดอกเบี้ย รวมถึงอาจมีเงินเหลือไปจ่ายหนี้ก้อนอื่นได้อีก โดยควรจะพิจารณาขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีพหรือที่ไม่ต้องใช้ในการประกอบอาชีพ
2. สินเชื่อที่มีหลักประกัน โดยทั่วไปแล้วสินเชื่อประเภทนี้จะมีหลักประกันเป็นเงินฝาก สลากออมทรัพย์ ที่ดิน บ้าน หรืออาคาร ซึ่งหากกลายเป็นหนี้ที่มีปัญหาและต้องการแก้ไข นอกจากการขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว ก็มีแนวทางดังต่อไปนี้ 2.1 กรณีหลักประกันเป็นเงินฝาก สลากออมทรัพย์ สามารถติดต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้เพื่อขอนำหลักประกันมาหักชำระหนี้ได้ โดยเมื่อเทียบมูลค่าหลักประกันกับภาระหนี้แล้ว มีกรณีดังต่อไปนี้ (1) มูลค่าหลักประกัน > ภาระหนี้ ปิดบัญชีได้เลยไม่ต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่ม และยังได้เงินส่วนที่เหลือจากการหักชำระหนี้คืนด้วย (2) มูลค่าหลักประกัน = ภาระหนี้ ปิดบัญชีได้เลยไม่ต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่ม (3) มูลค่าหลักประกัน < ภาระหนี้ จะต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มเพื่อปิดบัญชี ทั้งนี้ หากเป็นหนี้กับสถาบันการเงินอื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นผู้ออกสลากออมทรัพย์ จะต้องไปไถ่ถอนเงินคืนจากผู้ออกสลากออมทรัพย์ก่อน 2.2 กรณีหลักประกันเป็นที่ดิน บ้าน อาคาร 2.2.1 ประกาศขายแล้วนำเงินไปชำระหนี้ การประกาศขายด้วยตัวเอง หรือผ่านนายหน้ามีข้อดีคือ เรากำหนดราคาที่พึงพอใจ หรือตามต้นทุนการถือครองได้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง ทำให้อาจต้องใช้ระยะเวลาในการขายนาน จึงต้องคำนึงถึงภาระของดอกเบี้ย และค่างวดที่เรายังคงต้องผ่อนชำระให้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ในแต่ละเดือนจนกว่าจะสามารถขายได้ รวมถึงพิจารณาความจำเป็นในการมีที่อยู่อาศัยประกอบด้วยว่าเรามีทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหรือไม่ เช่น อาศัยกับญาติ เช่า หรือมีบ้านหลังอื่นอยู่อาศัยได้ 2.2.2 ขอตีโอนทรัพย์ชำระหนี้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ โดยเมื่อเทียบกับราคาประเมิน (ราคาประเมินเป็นไปตามเงื่อนไขที่สถาบันการเงินกำหนด) กับภาระหนี้ มีกรณีดังต่อไปนี้ (1) ราคาประเมิน > ภาระหนี้ ปิดบัญชีได้เลยและไม่ได้เงินที่เหลือคืน (2) ราคาประเมิน = ภาระหนี้ ปิดบัญชีได้เลย (3) ราคาประเมิน < ภาระหนี้ ต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มเพื่อปิดบัญชี
หมายเหตุ: หากราคาประเมินมากกว่าภาระหนี้และเลือกปิดบัญชีเลย จะไม่ได้เงินคืนเนื่องจากไม่ได้เป็นธุรกรรมซื้อ-ขาย แต่เป็นการตกลงยินยอมโอนทรัพย์ชำระหนี้ระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ และราคาประเมินไม่ใช่ราคาซื้อขายเป็นเพียงราคาประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อของแต่ละสถาบันการเงิน
อนึ่ง การตีโอนทรัพย์ชำระหนี้มี 2 รูปแบบ คือ
(1) การตีโอนทรัพย์ชำระหนี้แบบจบหนี้ เป็นการตกลงกันระหว่างลูกหนี้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ว่าต้องการตีโอนทรัพย์ที่เป็นหลักประกันของสินเชื่อเพื่อชำระหนี้ ทั้งนี้ เมื่อตีโอนทรัพย์ชำระหนี้เรียบร้อยแล้วกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นก็จะตกเป็นของสถาบันการเงิน และลูกหนี้ก็จะไม่มีภาระผูกพันกับสถาบันการเงินอีกต่อไป (2) การตีโอนทรัพย์ชำระหนี้แบบมีเงื่อนไขให้ซื้อคืน เป็นการตกลงกันระหว่างลูกหนี้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ว่าต้องการตีโอนทรัพย์ที่เป็นหลักประกันของสินเชื่อเพื่อชำระหนี้ โดยมีเงื่อนไขตกลงเพิ่มเติมระหว่างกันว่าผู้กู้มีสิทธิที่จะขอซื้อคืนทรัพย์จากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ตามราคาที่ตกลงกัน ซึ่งหากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วลูกหนี้ก็จะไม่สามารถซื้อทรัพย์คืนได้ แต่หากภายในระยะเวลาดังกล่าวมีผู้อื่นขอซื้อทรัพย์นั้น สถาบันการเงินเจ้าหนี้จะแจ้งให้ผู้กู้ทราบเพื่อให้ผู้กู้ได้มีโอกาสใช้สิทธิ หากผู้กู้สละสิทธิ ก็สามารถขายทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้อื่นได้
สำหรับกรณีที่นำหลักประกันมาหักชำระหนี้ หรือขอตีโอนทรัพย์ชำระหนี้แล้ว แต่หนี้ก้อนนั้นยังไม่หมด ซึ่งมักพบในกรณีสินเชื่อเพื่อธุรกิจ ก็ยังพอมีวิธีแก้ไขเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
(1) ขอส่วนลดหนี้ (Haircut) สามารถเจรจากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้เพื่อขอ Haircut หนี้ส่วนที่เหลือ โดยต้องยื่นคำขอพร้อมทั้งแสดงเหตุผลและความจำเป็นประกอบการพิจารณา
(2) ขอผ่อนชำระหนี้ที่เหลือ สามารถเจรจากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้เพื่อขอผ่อนชำระหนี้ส่วนที่เหลือได้ เพราะอย่างน้อยการผ่อนหนี้ที่เหลือภาระก็จะเบามากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากได้ชำระหนี้ส่วนใหญ่ไปแล้ว (3) รวมรวบเงินเพื่อชำระหนี้ส่วนที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นการขายทรัพย์สินที่ยังมีเหลืออยู่อีก หรือขอความช่วยเหลือจากครอบครัวเพื่อรวบรวมเงินให้ได้และชำระหนี้ปิดบัญชี
ภาระจํายอม สามารถยกเลิกได้ไหม
1. ถ้า ภารยทรัพย์ หรือ สามยทรัพย์ สลายไปทั้งหมดเท่ากับภาระจำยอมจะสิ้นไปโดยอัตโนมัติ 2. เมื่อภารยทรัพย์ หรือ สามยทรัพย์ ตกเป็นเจ้าของคนเดียวกัน เจ้าของสามารถขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมได้ 3. ภาระจำยอมไม่ได้ใช้ 10 ปี ติดต่อกัน ภาระจำยอม ย่อมหมดสิ้นไป
การได้มาซึ่งภาระจํายอม มีกี่วิธี
ภารจำยอมอาจได้มา ๓ วิธีด้วยกันคือ ๑. โดยนิติกรรม ๒. โดยอายุความ ๓. โดยผลแห่งกฎหมาย ๑. . โดยนิติกรรม เป็นการตกลงระหว่างเจ้าของอสังหาริม
ทางภาระจํายอม กี่เมตร
ของทางภาระจำยอมว่ามีความกว้าง 1 เมตรจึงอยู่ในขอบเขตของคำให้การ ไม่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ภาระจํายอม ใช้เอกสารอะไรบ้าง
ในการจดทะเบียนภาระจำยอมให้คู่กรณีนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแปลงที่ตกเป็นภารยทรัพย์และแปลงสามยทรัพย์ รวมทั้งนำหลักฐาน บัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ ชื่อสกุล (ถ้ามี)